การจัดการทรัพยากรเหมืองแร่กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหาร (1)

การจัดการทรัพยากรเหมืองแร่กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหาร (1)

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลภายหลังรัฐประหาร ใช้อำนาจปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก การรวมกลุ่ม และการชุมนุม ของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทย ส่งผลกระทบต่อสิทธิในด้านต่างๆ ตามมาอีกมากมาย หนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบคือ ประชาชนที่อยู่กับทรัพยากร หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีโครงการพัฒนา ทั้งของรัฐและเอกชน ทั้งโครงการที่มีมาก่อนการรัฐประหาร และโครงการที่ผุดขึ้นจากนโยบายหลังรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นการให้สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ การให้สัมปทานสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม เขตเศรษฐกิจพิเศษ โครงการน้ำ โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เป็นต้น

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงขอประมวลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 กรณีทรัพยากรแร่ เพื่อนำเสนอภาพต่อ (jigsaw) อีกหนึ่งชิ้นของสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ให้เห็นโดยสังเขป

ในตอนแรกของรายงาน จะได้กล่าวถึงภาพรวมของปัญหาและการละเมิดสิทธิในกระบวนการให้สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ ทั้งในระดับนโยบายและในระดับพื้นที่ ที่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านและชุมชน ผ่านมุมมองของ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา ภาคประชาชนที่คลุกคลีและติดตามประเด็นดังกล่าวมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

 

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์: รายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านทรัพยากรแร่

  1. อดีตและปัจจุบันของกระบวนการทำเหมืองแร่
  • ก่อนการทำเหมือง : ลัดขั้นตอนและสร้างข้อมูลเท็จ

ในเรื่องทรัพยากรแร่มักพบเห็นปัญหาพื้นฐานอยู่เสมอว่า มีการลัดขั้นตอนและสร้างข้อมูลเท็จในการขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่  หรือมีกลโกงในขั้นตอนต่าง ๆ  เช่น  มีการประชุมหมู่บ้าน  อบต./เทศบาล  ในวาระอื่น ๆ  แต่มีการจัดทำบันทึกการประชุมแทรกเนื้อหาการขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ลงไปในภายหลัง  หรือมีการประชุมหมู่บ้าน  อบต./เทศบาล  ในวาระเรื่องการขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่จริง  แต่จัดทำบันทึกการประชุมเท็จว่าประชาชนหรือสมาชิก อบต./เทศบาลส่วนใหญ่เห็นชอบให้มีการขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ได้  ทั้ง ๆ ที่เสียงส่วนใหญ่ในวันประชุมจริงไม่เห็นชอบ  เป็นต้น

ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มักถูกหลอก  ล่อลวง  เช่นนี้เสมอ  และก็ยากที่จะดำเนินการเอาผิดทั้งในทางฟ้องร้องต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและฟ้องต่อศาล  เนื่องจากหน่วยงานราชการมักสนับสนุนหรือให้ท้ายเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นที่มีการทำความผิดเช่นนี้อยู่เสมอ  โดยอ้างหลักฐานไม่เพียงพอ  ไม่ชัดเจน  หรือเป็นอำนาจหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นสามารถตัดสินใจได้เองไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานกำกับดูแลแต่อย่างใด  ในส่วนของการฟ้องคดีต่อศาล  โดยเฉพาะศาลปกครองก็มีความล่าช้ามาก  บางคดีมีคำพิพากษาออกมาว่าขั้นตอนเหล่านั้นผิดชัดเจน ก็ไม่สามารถนำไปบังคับย้อนเหตุการณ์ได้  ยกตัวอย่างเช่น  ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลปกครอง  หน่วยงานรัฐได้ดำเนินการอนุญาตประทานบัตร (สัมปทานทำเหมืองแร่) ให้แก่ผู้ลงทุนไปแล้ว  พอศาลพิพากษาว่า ขั้นตอนเริ่มต้นของการขอสัมปทานทำเหมืองแร่ผิดจริง  เช่น  มีการทำประชาคมเท็จ  มีการรังวัดไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรอันเป็นเท็จ  ก็ไม่ส่งผลให้การทำเหมืองแร่ที่กำลังดำเนินการอยู่ตามใบอนุญาตประทานบัตรยุติลงได้

  • ระหว่างการทำเหมือง : ไม่มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่เข้มงวดเพียงพอ

กฎหมายในประเทศไทย  โดยเฉพาะกฎหมาย 4 หมวดที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแล  เฝ้าระวัง  ติดตาม  ควบคุม  ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบการเหมืองแร่  ได้แก่  กฎหมายแร่  กฎหมายสิ่งแวดล้อม  กฎหมายควบคุมมลพิษ  และกฎหมายโรงงาน  ไม่มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม  สังคม และสุขภาพที่เข้มงวดเพียงพอ  จนนำมาซึ่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  สังคม และสุขภาพอย่างรุนแรงหลายพื้นที่  ตัวอย่างสำคัญของเหมืองขนาดใหญ่ที่ยังคงดำเนินการอยู่จนส่งผลกระทบอย่างรุนแรง  ได้แก่  การปนเปื้อนของสารพิษแคดเมียมจากการทำเหมืองแร่สังกะสีในร่างกายมนุษย์ที่ลุ่มน้ำแม่ตาว  อ.แม่สอด  จ.ตาก  จนทำให้ประชาชนมีสารแคดเมียมปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานประมาณ 1,000 คน  การเจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจของชาวบ้านที่อำเภอแม่เมาะ  จากการทำเหมืองแร่และโรงไฟฟ้าถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)  การเจ็บป่วยจากสารพิษโลหะหนัก  เช่น  ไซยาไนด์  สารหนู  ปรอท  ตะกั่ว  แมงกานีส  ปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในร่างกายจากการทำเหมืองแร่ทองคำ 2 แห่ง  ที่จังหวัดเลย และพิจิตร-เพชรบูรณ์  การสูบน้ำเกลือในภาคอีสานหลายจังหวัดเพื่อนำมาต้มและตาก  ส่งผลให้นาข้าวและแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคไม่สามารถใช้งานได้จากความเค็มที่ปนเปื้อนลงไป  เป็นต้น

  • หลังเลิกกิจการ : เหมืองร้างไร้มาตรการฟื้นฟู

กฎหมายที่บังคับใช้ 4 หมวด  ตามข้อ ข.  ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดในเรื่องการฟื้นฟูเหมืองไว้เลย  จึงมักพบเหมืองร้างที่มีสารพิษและโลหะหนักสะสมอยู่ในบ่อกักเก็บกากแร่ กองกลางแจ้งอยู่เช่นเดิม โดยไร้การเฝ้าระวัง  ตรวจสอบ  ควบคุมดูแล  และแก้ไขปัญหา  ตัวอย่างสำคัญของเหมืองขนาดใหญ่ที่เลิกกิจการไปแล้วที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  สังคมและสุขภาพอย่างรุนแรง  ก็คือการทำเหมืองตะกั่วที่ลำห้วยคลิตี้  อำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี  ที่ตะกรันตะกั่วไหลรวมกันไปอยู่ในท้องน้ำแล้วลุกลามเข้าไปในห่วงโซ่อาหารโดยการปนเปื้อนอยู่ในสัตว์น้ำ  พืชอาหารริมน้ำ  จนทำให้ชาวกะเหรี่ยงที่ลุ่มน้ำลำห้วยคลิตี้ต้องเจ็บป่วยและล้มตายจากการมีสารตะกั่วปนเปื้อนอยู่ในร่างกายเกินค่ามาตรฐานเกือบทั้งหมู่บ้าน  การทำเหมืองดีบุกที่ร่อนพิบูลย์  จังหวัดนครศรีธรรมราช  ที่ทิ้งมรดกโรคไข้ดำที่เกิดจากสารหนูให้กับชาวบ้านหลายร้อยคน  เป็นต้น

      2. การละเมิดสิทธิมนุษยชน

      ยุคประชาธิปไตย: รัฐและทุนจับมือ หลบเลี่ยงประชาชนตรวจสอบ  

ส่วนใหญ่แล้ว  แทบทุกพื้นที่ที่รัฐอนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ในประเทศไทยมักมีปัญหากับประชาชนในพื้นที่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  เนื่องจากไม่มีพื้นที่สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ใดที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน  แหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งทำมาหากิน  เช่น  ไร่  นา  สวน  ป่าชุมชน  ป่าใช้สอย  ที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้สอยร่วมกัน  ฯลฯ

ประชาชนในพื้นที่สัมปทานส่วนใหญ่มักขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่ส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนและกระบวนการขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่  จึงทำให้ไม่รู้ว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนและกระบวนการขออนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่เหล่านั้นอย่างไรได้บ้าง  จึงมักพบเห็นเป็นปัญหาอยู่เสมอว่า มีการร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ลงทุน ทำการลัดขั้นตอนและสร้างข้อมูลเท็จในการอนุญาตสัมปทาน  โดยเฉพาะขั้นตอนที่เปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม  เช่น  การเข้าไปสำรวจแร่ในที่ดินที่ประชาชนมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง  การรังวัดปักหมุดขอบเขตเหมืองแร่  การปรึกษาหารือเบื้องต้นก่อนดำเนินการขอสัมปทานทำเหมืองแร่  การไต่สวนประกอบคำขอสัมปทานทำเหมืองแร่  การทำประชาคมหมู่บ้านเพื่อรับฟังความคิดเห็นและพิจารณาตัดสินใจว่า จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยให้ผู้ลงทุนดำเนินการขอสัมปทานทำเหมืองแร่ต่อไปได้หรือไม่  อย่างไร  การทำประชาคมหมู่บ้านเพื่ออนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่าไม้,  ส.ป.ก.  หรือพื้นที่หวงห้ามตามกฎหมายอื่นเพื่อนำไปสำรวจและทำเหมืองแร่  การประชุมเพื่อลงมติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต./เทศบาล)  การจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)/ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA)  ฯลฯ

mine

ยุค คสช.: ยิ่งหนุนนายทุน กดประชาชน

นอกจากรูปแบบการละเมิดสิทธิดังที่กล่าวมาข้างต้น  จะยังคงดำเนินต่อไปในพื้นที่การขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ต่าง ๆ ของไทย  การใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกและมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557  ของ คสช. ในการห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป ส่งผลให้การเคลื่อนไหวคัดค้านต่าง ๆ ของประชาชนถูกระงับยับยั้งไว้แทบทั้งหมด  เช่น  ห้ามชุมนุม  ประชุม  รวมกลุ่ม  สัมมนา  ห้ามพูด  เขียน  ห้ามติดป้ายคัดค้าน  ฯลฯ  บางครั้งอาจได้รับการอนุโลมให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขบีบคั้นจนไม่สามารถแสดงเจตนาหรือบรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมได้  คำสั่งเหล่านี้ได้ปิดกั้นความคิดเห็น  การมีส่วนร่วม  การคัดค้าน  การแสดงออก  การชุมนุมสาธารณะ  ของประชาชนไปอย่างหมดสิ้น  แต่ในด้านตรงข้ามกลับส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ลงทุนในพื้นที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น  เพราะไม่มีการสั่งห้ามกิจกรรมใด ๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ลงทุน  จึงแทบไม่มีการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบใด ๆ จากประชาชนเลย

ตัวอย่างเช่น  เหมืองแร่ทองคำเขาหลวง  ต.เขาหลวง  อ.วังสะพุง  จ.เลย  ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด  ทหารเข้าไปประจำการในหมู่บ้าน 1 กองร้อย เพื่อปฏิบัติการบังคับ กดดัน ข่มขู่ ให้ชาวบ้านยอมให้บริษัทฯ ขนแร่ออกมาให้ได้  ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้เอาป้ายคัดค้านลง  ห้ามประชุมรวมกลุ่มกันในหมู่บ้าน  ห้ามให้นักศึกษา  เอ็นจีโอ  สื่อมวลชน  นักสิทธิมนุษยชนในประเทศและต่างประเทศเข้าไปพบปะ  เยี่ยมเยียน  รับรู้สถานการณ์  สังเกตการณ์ในพื้นที่  และเรียกแกนนำชาวบ้านหลายคนเข้าไปปรับทัศนคติหลายครั้งหลายหน  ห้ามแม้กระทั่งการจัดค่ายเยาวชนเพื่อเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมในพื้นที่  เพราะเกรงว่าจะมีกลุ่มคนภายนอกยุยงปลุกปั่นให้เยาวชนในพื้นที่เกลียดเหมืองทอง  สุดท้ายทหารได้เป็นกำลังหลักคุ้มกันรถขนแร่ออกไปจากหมู่บ้าน

ในพื้นที่การขอสัมปทานทำเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี  ทหารได้สนับสนุนให้ผู้ลงทุนขอสัมปทานทำเหมืองแร่โปแตชใต้ดินในเขตทหารได้อย่างเต็มที่  ทั้ง ๆ ที่มีกฎหมายหวงห้ามบังคับไว้  และในช่วงสิบกว่าปีของรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา ทหารได้แสดงเจตนาไว้ชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ทหารเพื่อการดังกล่าว  นอกจากนี้ ทหารยังเข้าไปกดดันและสอดส่องในพื้นที่จนทำให้กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีไม่สามารถดำเนินการจัดประชุม  ชุมนุมคัดค้านใด ๆ ได้เลย

คณะรัฐบาลของ คสช.  ยังได้ทำเรื่องระดับนโยบายอีก 3 เรื่องสำคัญ  หนึ่ง คือ ใช้กฎอัยการศึก (และมาตรา 44)  ทำให้ขั้นตอนในการพิจารณาเห็นชอบรายงาน EIA/EHIA (ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม_พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535) โครงการพัฒนาต่าง ๆ ให้สั้นลง    สอง คือ เห็นชอบร่างกฎหมายแร่  (ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ….)  ซึ่งหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจแก้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  ได้ส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 59 สนช. มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติแร่ฉบับนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไป คณะกรรมาธิการวิสามัญจะพิจารณารายละเอียดในประเด็นต่างๆ ภายใน 60 วัน ก่อนส่งกลับให้ สนช. พิจารณาให้ความเห็นชอบ  สาม คือ ประกาศใช้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558  ส่งผลให้ประชาชนในทุกพื้นที่ที่คัดค้านโครงการพัฒนาไม่สามารถชุมนุมเคลื่อนไหวใด ๆ ได้อีก  เพราะไม่ว่าการประชุมสัมมนา  การจัดค่ายเยาวชน  การดูงาน  ทัศนศึกษา  การยื่นหนังสือ  ฯลฯ  ล้วนถูกตีความว่าเข้าข่ายการชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ที่ต้องขออนุญาตก่อนทั้งสิ้น

 

      3.ร่างกฎหมายแร่: ประชาชนยิ่งถูกละเมิดสิทธิร่วมจัดการทรัพยากร
ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ….  ที่ผ่านความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรี หมวด 7 การบริหารจัดการแร่ในพื้นที่พิเศษ  มาตรา 98  ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี  กำหนดพื้นที่ใด ๆ ให้เป็นเขตสำหรับดำเนินการสำรวจ  ทดลอง  ศึกษา  และวิจัยเกี่ยวกับแร่  รวมทั้งรัฐมนตรีสามารถอนุญาตให้ยื่นคำขออาชญาบัตรหรือประทานบัตรได้

มาตรา 99  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศกำหนดให้พื้นที่ใดเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองได้เป็นอันดับแรกก่อนการสงวน  หวงห้าม  หรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่นั้น  โดยพื้นที่ต้องเป็นแหล่งแร่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง  และมิใช่พื้นที่ตามกฎหมายเฉพาะเรื่องการห้ามการเข้าใช้ประโยชน์โดยเด็ดขาด  รวมถึงพื้นที่เขตปลอดภัยและความมั่นคงของชาติ

มีแหล่งแร่ทองคำจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ป่าสมบูรณ์  เป็นแหล่งอาศัยสำคัญของสัตว์ป่า  หรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแหล่งอพยพของนก  คำถามคือ  กฎหมายนี้จะให้อำนาจรัฐมนตรีประกาศให้พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ทำเหมืองแร่ได้หรือไม่  อย่างไร

เมื่อดูเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตราดังกล่าวจะเห็นว่าเป็นการเปิดโอกาสให้นำพื้นที่อ่อนไหวทางระบบนิเวศตั้งแต่พื้นที่สูงบนภูเขาจนถึงที่ราบต่ำและชายทะเล  และพื้นที่หวงห้ามตามกฎหมายอื่น  เช่น  พื้นที่ ส.ป.ก.  พื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร  พื้นที่ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ทางโบราณวัตถุ  โบราณสถาน  หรือแหล่งฟอสซิลที่ควรค่าแก่การศึกษาและอนุรักษ์ไว้  ฯลฯ  ต้องคำนึงถึงการนำพื้นที่เหล่านั้นมาเปิดประมูลก่อนคำนึงถึงการสงวนหวงห้าม  หลักกฎหมายเช่นนี้  เป็นการลบล้างหรือครอบกฎหมายอื่นไปสิ้น  จนทำให้แทบไม่เหลือพื้นที่ใดเลยในประเทศที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์หรือรักษาไว้เพื่อประโยชน์ที่ไม่ใช่การสำรวจและทำเหมืองแร่อีกต่อไป

หลักการเช่นนี้  ดูเหมือนจะมีสภาพดุลพินิจ  หมายความว่าหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่หยิบยกพื้นที่หวงห้ามต่าง ๆ มาประกาศเปิดให้เอกชนประมูลเพื่อสำรวจและทำเหมืองแร่ก็ย่อมได้  แต่จริง ๆ แล้วบทบัญญัติหรือหลักการดังกล่าวมีสภาพบังคับมากกว่า  หมายความว่าหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ดำเนินการหยิบยกพื้นที่หวงห้ามต่าง ๆ มาประกาศเปิดให้เอกชนประมูลเพื่อสำรวจและทำเหมืองแร่  ก็อาจทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุนบังคับได้หลายช่องทาง  ไม่ว่าจะเป็นการเข้าพบ  ร้องเรียน  เรียกร้อง หรือฟ้องต่อศาล  ให้รัฐมนตรีต้องดำเนินการ  เพราะหลักการตามบทบัญญัติดังกล่าวมันแสดงเจตนาชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่หวงห้ามตามกฎหมายใดต้องคำนึงถึงการนำพื้นที่เหล่านั้นมาเปิดประมูลให้สำรวจและทำเหมืองแร่ก่อนคำนึงถึงการสงวนหวงห้าม

ดังนั้น  ประเทศไทยไม่สมควรนำเสนอร่างกฎหมายที่มีสภาพลบล้างกฎหมายอื่นอย่างรุนแรงเช่นนี้  จนไปทำลายพื้นที่ที่มีความสำคัญหรือมีความอ่อนไหวทางระบบนิเวศ  หรือพื้นที่ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์รักษาไว้เพื่อประโยชน์อื่นมากกว่าการทำเหมืองแร่

เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ  จึงขอให้ยุติการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ….  เข้าสู่กระบวนการตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ในขั้นตอนต่อไป  โดยให้ประชาชนมีช่องทางนำเสนอร่างกฎหมายด้วยการเข้าชื่อ  เมื่อประเทศไทยมีประชาธิปไตยมากขึ้นกว่านี้

 

    4. การละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำ
กระบวนการทำเหมืองแร่ทองคำมีการปนเปื้อนไซยาไนด์  สารหนู  แคดเมียม  แมงกานีส  ตะกั่ว  ปรอท  เหมืองแร่ทองคำที่จังหวัดเลย  ตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งเป็นต้นน้ำของลำน้ำฮวยและลำห้วยผุก  ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภคของ 6 หมู่บ้าน  บ้านนาหนองบง  บ้านกกสะท้อน  บ้านภูทับฟ้า  บ้านห้วยผุก  บ้านโนนผาพุงพัฒนา  บ้านแก่งหิน  ตำบลเขาหลวง  อำเภอวังสะพุง  จังหวัดเลย  ช่วงปี 2550 – 2554 มีหลายหน่วยงานดำเนินการตรวจคุณภาพน้ำในลำห้วย  น้ำใต้ดิน  สัตว์น้ำและพืชอาหารในลำน้ำ  และตรวจเลือดผู้อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าว  โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลยได้ออกประกาศ 2 ฉบับ  ให้ประชาชนงดการใช้น้ำบริโภคหรือประกอบอาหารและห้ามนำหอยขมมาบริโภค  เพราะมีสารหนู  แคดเมียม และแมงกานีส เกินค่ามาตรฐาน  ในปี 2554  กรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลพบว่า ลำน้ำห้วยเหล็กมีสารหนูและไซยาไนด์เกินค่ามาตรฐาน  ผลการตรวจเลือดของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลยจำนวน 758 ราย  พบไซยาไนด์ในเลือดเกินค่ามาตรฐาน 124 ราย  นับแต่มีประกาศแจ้งเตือนจากสาธารณสุขในปี 2552 คนเขาหลวงต้องซื้อน้ำเพื่อบริโภคอุปโภคมาตลอดจนถึงปัจจุบัน

เหมืองแร่ทองคำในพื้นที่เชื่อมต่อจังหวัดพิจิตร  เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก  ในพื้นที่เขาหม้อซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์  เป็นแหล่งอาหาร  ต้นน้ำลำธารของชุมชน  ต่อเนื่องกับพื้นที่การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์  ผลการตรวจเลือดของชาวบ้านในพื้นที่รอบเหมืองโดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จำนวน 4 ครั้ง  พบค่าสารหนูในปัสสาวะ  และค่าแมงกานีสในเลือดเกินค่าปกติ 400 คน  จากผู้รับการตรวจ 731 คน  คณะเทคนิคการแพทย์  มหาวิทยาลัยรังสิตตรวจ DNA และ Micronucleus  พบความผิดปกติ 208 คน  จากผู้รับการตรวจ 646 คน  นับเป็นใน 1 ใน 3  ซึ่งโดยทั่วไปจะพบไม่เกิน 5 ใน 1,000 คน  เดือนมีนาคม 2558  หน่วยอาชีวเวชกรรมสิ่งแวดล้อม  โรงพยาบาลพิจิตร  ตรวจสุขภาพของประชาชนรอบเหมืองแร่ทองคำ  พบว่ามีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานแต่ยังไม่ป่วยรวม 306 คน  พบแมงกานีสในเลือดเกินค่ามาตรฐาน 269 คน  จากผู้รับการตรวจ 502 คน  และพบสารหนูในปัสสาวะ 37 คน  จาก 273 คน  ในเบื้องต้นพบว่าน้ำอุปโภคบริโภคมีความสัมพันธ์กับแมงกานีสในเลือดและฝุ่นละอองจากกองหินทิ้งที่ได้จากการสกัดแร่ทองคำออกไป

 

ตอนต่อไป การจัดการทรัพยากรเหมืองแร่กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหาร (2) รูปธรรมการละเมิดสิทธิหลังการรัฐประหาร ใน 2 พื้นที่ พร้อมบทสรุปเรื่องบูรณาการการใช้อำนาจของทหารกับการปฏิรูปที่ไม่มีประชาชนในสายตา

X