เริ่มสืบพยานคดี “แม่ครัว ครอบครองอาวุธ” ในศาลทหาร หลังถามคำให้การมาแล้วกว่า 2 ปี

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.59 ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่ นัดสืบพยานโจทก์ในคดีระหว่างอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 33 กับนางเสาวณี อินต๊ะหล่อ อดีตแม่ครัวร้านอาหารในจังหวัดลำพูน ข้อหาความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 โดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง, ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ และร่วมกันมีใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต

คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พ.ค.57 จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้เข้าตรวจค้นภายในสวนลำไยแห่งหนึ่ง บริเวณตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน โดยเจ้าหน้าที่กล่าวอ้างว่ามีการสืบทราบว่าบริเวณสวนลำไยดังกล่าว มีการฝึกการใช้อาวุธของกลุ่มการ์ดผู้ชุมนุมทางการเมือง และได้พบชายฉกรรจ์ 5 คน ซึ่งเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไป ทั้งหมดต่างพากันวิ่งหลบหนี ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทหารจะสามารถควบคุมตัวนางเสาวณีเอาไว้ได้ รวมทั้งมีการตรวจค้นบริเวณสวน พบอาวุธปืนยาวแบบไทยประดิษฐ์ เครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง เสื้อเกราะกันกระสุน วิทยุสื่อสาร และสัญลักษณ์เสื้อหรือป้ายเกี่ยวกับคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่ง จึงมีการดำเนินคดีกับเสาวณี ที่เจ้าหน้าที่พบตัวในสวนลำไยดังกล่าว

11

ภาพขณะเจ้าหน้าที่รัฐเข้าตรวจค้นสวนลำไยเมื่อวันที่ 26 พ.ค.57 (ภาพจากผู้จัดการออนไลน์)

จำเลยถูกคุมขังในเรือนจำหลังจากการส่งฟ้องคดีต่อศาล และไม่ได้รับการประกันตัวเป็นเวลาราว 3 เดือน โดยมีการยื่นประกันตัวทั้งหมด 4 ครั้ง จนกระทั่งการยื่นประกันตัวครั้งที่ 5 ศาลทหารจึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 5 แสนบาท ก่อนจะมีการถามคำให้การไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย.57 โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

นอกจากนั้น ทนายความจากกลุ่มยุติธรรมล้านนาได้มีการยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเขตอำนาจของศาลในการพิจารณาคดีนี้ โดยร้องว่าคดีควรอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม จนเดือนกรกฎาคม 2558 ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 และศาลจังหวัดลำพูน ได้อ่านคำวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลทหาร โดยศาลทหารเห็นว่าประกาศคำสั่งของคสช.เป็นคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ การประกาศให้บุคคลพลเรือนที่กระทำความผิดตามประกาศอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลทหาร ถือได้ว่ามีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย

ตลอดปี 2559 ที่ผ่านมา ศาลทหารมีการนัดสืบพยานโจทก์ในคดีนี้หลายนัด แต่ก็มีการเลื่อนคดีเรื่อยมา สาเหตุทั้งเนื่องจากจำเลยป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่สามารถมาศาลได้ และเหตุเนื่องจากพยานโจทก์ไม่มาศาลหลายครั้ง ทำให้ยังไม่สามารถเริ่มสืบพยานได้ จนเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. จึงได้มีการเริ่มสืบพยานเป็นครั้งแรก โดยอัยการทหารมีนำพยานโจทก์ขึ้นเบิกความจำนวนสามปาก

พยานปากแรกได้แก่ สิบเอกอาทิตย์ บัวศรี ขณะเกิดเหตุเป็นหัวหน้าชุดในกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดลำพูน เกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมจับกุมตัวจำเลย ขึ้นเบิกความถึงเหตุการณ์วันจับกุมตัวจำเลย ส่วนพยานอีกสองปากเป็นพยานคู่ ได้แก่ ร.อ.ณัฐ วาณิชบำรุง ขณะเกิดเหตุประจำอยู่ที่กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 7 และเป็นหัวหน้าหน่วยชุดรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดลำพูน และร.ต.ท.ณรัช มันตริกุล รองสารวัตรสืบสวนสภ.เหมืองจี้ ทั้งสองเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้จับกุมตัวจำเลยและเป็นผู้นำของกลางเข้าแจ้งความร้องทุกข์

ร.อ.ณัฐระบุว่าในวันเกิดเหตุ ประมาณ 12.00 น. ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ไปตรวจดูพื้นที่ต้องสงสัย เมื่อไปถึงสวนลำไยในตำบลเหมืองจี้ จึงพบกลุ่มคนวิ่งหนีไป เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปตรวจสอบบ้านพักบริเวณนั้นโดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก จึงได้พบตัวจำเลย รวมทั้งตรวจค้นพบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน จึงมีการจับกุมตัวจำเลย โดยในการตรวจค้นจำเลยยินยอมให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ด้วยดี จากนั้นจึงได้รับคำสั่งให้นำตัวนางเสาวณีไปควบคุมตัวยังกรมทหารราบที่ 7 ก่อนมีการนำของกลาง พร้อมกับตัวผู้ต้องหาส่งให้พนักงานสอบสวนสภ.เหมืองจี้ในวันที่ 27 พ.ค.57  ส่วน ร.ต.ท.ณรัช ระบุว่าได้เข้ามาร่วมตรวจค้น หลังจากได้รับแจ้งทางวิทยุจากเจ้าหน้าที่ทหาร ก่อนจะร่วมกับร.อ.ณัฐในการนำของกลางไปมอบให้พนักงานสอบสวน

การสืบพยานทั้งสองปากเสร็จสิ้นโดยทนายจำเลยยังไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ ศาลทหารและคู่ความจึงตกลงกันให้นำพยานทั้งสองปากมาถามค้านและถามติงต่อไปในนัดหน้า จึงนัดสืบพยานนัดต่อไปในวันที่ 2 ก.พ. 2560

สำหรับเสาวณี อินต๊ะหล่อ อายุ 52 ปี เคยประกอบอาชีพเป็นแม่ครัวที่ร้านอาหารในจังหวัดลำพูน ปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากมีอาการป่วยทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน โรคเลือด รวมทั้งอาการเกี่ยวกับประสาทตา เสาวณีระบุว่าเธอมิได้รู้เห็นถึงอาวุธของกลางใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหา เพียงแต่ได้รับการว่าจ้างให้มาทำกับข้าวเลี้ยงกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินทางกลับจากการชุมนุมที่ถนนอักษะช่วงหลังรัฐประหาร รวมทั้งวันเกิดเหตุ เธอก็ไม่ได้หลบหนี เพราะมีอาการป่วย และคิดว่าตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เปิดคำวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลคดีแม่ครัวลำพูน ศาลทหารยันมีอำนาจพิจารณา ชี้ประกาศคสช.เป็นคำสั่งรัฏฐาธิปัตย์

“ลำบากน่ะ ลำบากมาก”: เสียงจากอดีตแม่ครัว จำเลยคดีครอบครองอาวุธในศาลทหาร

 

X