คดีถึงที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเฉลียว 112 นาน 5 ปี ลดเหลือ 2 ปี 6 เดือน

คดีถึงที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเฉลียว 112 นาน 5 ปี ลดเหลือ 2 ปี 6 เดือน

9 มิ.ย. 2560 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่เฉลียว (สงวนนามสกุล) ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จากการอัพโหลดคลิปเสียงขึ้นบนเว็บไซต์ เฉลียวให้การรับสารภาพในชั้นศาล ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี แต่ลดโทษเหลือ 1 ปี 6 เดือน โดยให้รอลงอาญา 2 ปี แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 2 ปี 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา เฉลียวจึงยื่นฎีกา ก่อนศาลจะนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้

  • ถูกเรียกรายงานตัว

เฉลียว เป็นช่างตัดกางเกง ปัจจุบันอายุ 58 ปี หลังรัฐประหารของ คสช. เขามีรายชื่อถูกเรียกรายงานตัว และเดินเข้าไปรายงานตัวที่สโมสรกองทัพบก เทเวศร์ ในวันที่ 3 มิ.ย. 2557 บ่ายวันนั้นเจ้าหน้าที่ไปค้นบ้านเขา และยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไว้เป็นของกลาง เขาถูกควบคุมตัวจนครบ 7 วัน ระหว่างนั้นเฉลียวถูกสอบสวนหลายครั้ง รวมถึงถูกนำเข้าเครื่องจับเท็จ เพราะถูกสงสัยว่าจะเป็น ‘บรรพต’ เจ้าของเสียงในคลิปที่เขารับสารภาพว่าอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์

9 มิ.ย. 2557 วันเดียวกันนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เฉลียวได้รับการปล่อยตัวจาก คสช. เพื่อไปรับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) วันนั้นพนักงานสอบสวนปล่อยเฉลียวกลับบ้าน และนัดหมายให้เขาเดินทางไปยังศาลอาญาในวันรุ่งขึ้นเพื่อขออนุญาตศาลฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และวันรุ่งขึ้นนั่นเองที่เฉลียวต้องเดินเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เพราะศาลอาญาปฏิเสธหลักทรัพย์จำนวน 800,000 บาท ไม่ให้ประกันตัวเฉลียวเนื่องจากเป็นคดีความผิดร้ายแรง

  • คดีของเฉลียวถูกฟ้องเมื่อ 29 ส.ค. 2557

คำฟ้องระบุว่า ประมาณปลายปี 2554 ถึง 21 ต.ค. 2555 จำเลยได้บังอาจหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และได้บังอาจนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร กล่าวคือ จำเลยได้คัดลอกแฟ้มข้อมูลเสียงของบุคคลที่ใช้ชื่อว่า ‘บรรพต’ ซึ่งมีเนื้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี มาเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ แล้วเผยแพร่หรือส่งต่อเข้าสู่ www.4shared.com ในบัญชีผู้ใช้ของจำเลย ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงแฟ้มข้อมูลดังกล่าวได้

  • 1 ก.ย. 2557 เฉลียวตัดสินใจรับสารภาพในห้องเวรชี้

ในห้องใต้ถุนศาลอาญานั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเวลา 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน และเนื่องจากเฉลียวไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี แต่อัยการก็ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากาษาจำคุกจำเลยในอัตราโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดโดยไม่รอการลงโทษ เมื่อ 8 ต.ค. 2557

  • ประมาณ 1 ปีหลังศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลอาญาก็นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

3 ก.ย. 2558 ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฉบับลงวันที่ 27 พ.ค. 2558 ใจความว่า แม้จำเลยจะไม่ใช่ผู้ผลิตและบันทึกเสียงในแฟ้มข้อมูลเองตามที่จำเลยกล่าวแก้ในอุทธรณ์ แต่การที่จำเลยคัดลอกแฟ้มข้อมูลเสียงที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มาเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ แล้วเผยแพร่ต่อในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแม้ผู้ที่จะเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้จะต้องเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ แต่ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกก็สามารถได้ยิน ได้ฟังจากการเปิดแฟ้มข้อมูลเสียงด้วยเช่นกัน ทำให้ข้อมูลแพร่การะจายออกไปได้อย่างกว้างขวาง ย่อมก่อให้เกิดความเข้าจผิดในหมู่คนที่ได้ฟังข้อมูล และเนื้อหาในข้อมูลเสียงตามที่ปรากฏในคำถอดเทปจากแฟ้มข้อมูลเสีง ในเอกสารแนบท้ายคำฟ้องซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อรับรองไว้ มีแต่คำกล่าวแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี อันมีเนื้อหาตรงกันข้ามกับพระราชกรณียดิจที่เป็นประโยชน์ต่อปวงชนชาวไทยมาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อยาวนาน พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุก 3 ปี ก่อนลดโทษและรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย แต่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งคดียังไม่สมควรกำหนดโทษในอัตราขั้นสูงสุดตามที่โจทก์อุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ไม่รอการลงโทษ

  • วันคดีถึงที่สุด

9 มิ.ย. 2560 เวลา 10.20 น. ห้องพิจารณาคดีที่ 906 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่า ในขณะเวลาที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้นำเข้าข้อมูลเสียง ปรากฏข้อความถอดเทปตามเอกสารท้ายฟ้อง ที่จำเลยได้ลงชื่อรับว่า เป็นข้อความที่จำเลยได้อัพโหลดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ในเว็บไซต์ www.4Share.com ผ่านบัญชีผู้ใช้ของจำเลย เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงแฟ้มข้อมูลดังกล่าว

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ที่ว่าคำฟ้องไม่ปรากฏข้อความที่อยู่ในข้อมูลเสียง ว่ามีข้อความอย่างไร ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจฟ้องได้นั้น ศาลเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำเข้าข้อมูลเสียง พร้อมทั้งแนบข้อความถอดเทปเป็นเอกสารท้ายฟ้อง และจำเลยลงชื่อรับรอง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และจำเลยรับรู้ข้อความดังกล่าว ไม่หลงต่อสู้ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ฎีกาของจำเลยต่อไปมีว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น มาลงโทษจำเลยโดยไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า แฟ้มข้อมูลเสียงที่โจทก์ถอดเทปแนบมาเป็นเอกสารท้ายฟ้อง และจำเลยลงลายมือชื่อรับรองอยู่ในคำฟ้อง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพจึงถือว่ามีข้อความตามเอกสารแนบท้ายคำฟ้องดังกล่าว และศาลก็พิจารณาตามเอกสารท้ายคำฟ้องประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษจำเลยโดยชอบแล้ว อันเป็นข้อความที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปัญหาตามฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยมีว่า กรณีมีเหตุรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่า แฟ้มข้อมูลเสียงดังกล่าวมีสมาชิกเข้าถึงได้จำนวนไม่มาก เห็นว่าจำเลยมีแฟ้มข้อมูลเสียงดังกล่าว และกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นองค์พระประมุขของชาติ ทุ่มเทพระวรกายประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประเทศชาติ แฟ้มข้อมูลเสียงดังกล่าวกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ และใช้ข้อความที่ต่ำช้า หยาบคาย ไม่ควรที่จะใช้แม้กับบุคคลชั้นต่ำ

จำเลยย่อมต้องรู้ว่าข้อความอันเป็นเท็จที่ใช้ภาษาหยาบคายดังกล่าว ไม่บังควรเผยแพร่ไปยังบุคคลอื่นแม้เพียงบุคคลเดียว แต่จำเลยกลับนำข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แม้จะอ้างว่ามีสมาชิกเพียงไม่กี่คน แต่สมาชิกดังกล่าวก็สามารถรับรู้ข้อมูลและนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยไม่จำกัดจำนวนได้

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดร้ายแรง กระทบองค์พระประมุขของรัฐตามกฎหมาย และเป็นศูนย์รวมของจิตใจคนไทยทั้งชาติตามข้อเท็จจริง ซึ่งผลจากการกระทำของจำเลยอาจไม่ส่งผลดีต่อสาธารณชนได้ไม่รู้จบ สมควรลงโทษในสถานหนัก และไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย แต่ศาลอุทธรณ์กลับลงโทษจำคุกจำเลยเพียง 5 ปีก่อนลดโทษ นับเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

X