เปิดปากคำ “จนท.AIS” ในคดีฉีกบัตรประชามติ หลังนำข้อมูลผู้ใช้บริการมาเปิดเผยโดยไม่มีหมายศาล

ศาลจังหวัดพระโขนงได้ทำการสืบพยานโจทก์ในคดีฉีกบัตรประชามติ โดยหนึ่งในพยานที่ฝ่ายโจทก์ได้นำเข้าเบิกความในศาล เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์จากบริษัท AIS ซึ่งเข้าให้การถึงการตรวจสอบการใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยทั้งสาม พร้อมนำเอกสารระบุการใช้งานโทรศัพท์ตั้งแต่วันที่1 ส.ค. ถึง 18 ส.ค. 59 อย่างละเอียดเข้ามาเบิกความ ในส่วนการสืบพยานจำเลย ศาลให้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 13 ก.ค.60

 

ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (13-16 มิ.ย. 60) ศาลจังหวัดพระโขนงได้ทำการสืบพยานในคดีที่นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ “โตโต้” จำเลยที่ 1 ได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากเห็นว่าการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นโดยไม่เป็นธรรม จึงได้ทำการฉีกบัตรลงคะแนนเสียงประชามติ พร้อมกับตะโกนว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” ภายในหน่วยลงคะแนนเสียงในสำนักงานเขตบางนา เมื่อวันที่ 7 ส.ค.59 ทำให้เขาถูกจับกุมดำเนินคดี ใน 4 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาทำลายบัตรออกเสียง และก่อความวุ่นวายในหน่วยลงคะแแนน ตามพ.ร.บ.ประชามติ, ข้อหาทำลายเอกสารราชการ และข้อหาทำให้ทรัพย์สินสาธารณะเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา ขณะที่นายจิรวัฒน์ เอกอัครนุวัฒน์ จำเลยที่ 2 และนายทรงธรรมแก้ว พันธุ์พฤกษ์ จำเลยที่3  ซึ่งได้ติดตามถ่ายวีดีโอขณะที่นายปิยรัฐทำการฉีกบัตร ก็ได้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาก่อความวุ่นวายในหน่วยลงคะแนนด้วย

ระหว่างการสืบพยาน ในวันที่สองของการสืบ (14 มิ.ย.) ฝ่ายโจทก์ได้มีการนำพยานปากหนึ่ง ได้แก่ นายศรัณย์ ปรีชา ผู้ชำนาญการฝ่ายกฎหมายของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ขึ้นเบิกความ โดยจำเลยทั้งสามเป็นผู้ใช้บริการของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือดังกล่าวอยู่ พยานปากนี้ได้เบิกความถึงการตรวจสอบการใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยทั้งสาม พร้อมกับเอกสารการตรวจสอบที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหนังสือเรียกพยานหลักฐานส่งไปยังบริษัท เพื่อยืนยันในประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสามคนได้มีการรู้จัก และติดต่อกันมาโดยตลอด เป็นพฤติการณ์ที่ทำร่วมกัน

ผู้ชำนาญการฝ่ายกฎหมายของเอไอเอสได้เบิกความว่า ภายหลังจากที่ได้รับหนังสือเรียกพยานเอกสารเกี่ยวกับการใช้งานโทรศัพท์ทั้งหมด 3 หมายเลขจากพนักงานสอบสวนในคดีนี้ พยานจึงได้ทำการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ทั้งสาม จากการตรวจสอบพบว่าเป็นหมายเลขที่จดทะเบียนการใช้งานในชื่อของนายปิยรัฐ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1, นายจิรวัฒน์ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 และนายทรงธรรม ซึ่งเป็นจำเลยที่3 ตามลำดับ จากนั้นจึงได้รวบรวมการใช้งานโทรศัพท์ทั้ง 3 หมายเลข ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ถึงวันที่ 18 ส.ค. 59 ตามหนังสือที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งมา จัดทำเป็นเอกสาร แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากเอกสารที่พยานโจทก์ปากดังกล่าว ได้ส่งเข้ามาปรากฏว่าเป็นการตรวจสอบการใช้งานโทรเข้า-ออกระหว่างหมายเลขโทรศัพท์ทั้ง 3 จากหมายเลขใดไปสู่หมายเลขใด มีการใช้พูดคุยสายแต่ละครั้งเป็นเวลากี่วินาที และตัวเลขการยืนยันว่ามีการรับสายการติดต่อเป็นเวลาเท่าใด ซึ่งตรงกันระหว่างหมายเลข ทั้งยังมีข้อมูลการรับ-ส่งข้อความ SMS รายการธุรกรรมการเงินที่หมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยทำไว้กับ mobile bank และรายการระบุพิกัดตำแหน่งของหมายเลขทั้ง 3 จากเสาสัญญาณของผู้ให้บริการ ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งใดอย่างละเอียด ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ส.ค. ถึงวันที่ 18 ส.ค.59 โดยพยานยังได้เบิกความอธิบายความหมายของตัวเลขและข้อความที่ปรากฎในเอกสารดังกล่าวความยาวกว่า 10 หน้า เพื่อให้ศาลเข้าใจความหมาย

จากนั้น ทนายจำเลยจึงได้ทำการถามค้านพยานปากนี้ว่าพยานทราบหรือไม่ว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลส่วนตัว และมีกฎหมายให้ความคุ้มครองไว้ พยานระบุว่าทราบดี เพราะพยานก็จบกฎหมาย รวมทั้งทำงานในฝ่ายกฎหมาย ทนายความจำเลยจึงสอบถามอีกว่าการจะให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีอำนาจกระทำได้เป็นการเฉพาะ ไม่สามารถให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทุกรายใช่หรือไม่ พยานโจทก์ได้ตอบว่าเข้าใจ และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหนังสือให้ส่งหลักฐานดังกล่าวไปให้มีอำนาจ จึงได้ปฏิบัติตาม  ทนายความจึงถามเพิ่มเติมว่าการจะกระทำดังกล่าวจะต้องมีการขอออกหมายศาลด้วยใช่หรือไม่ พยานโจทก์ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนในคดีมีอำนาจกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

 

(ภาพจำเลยทั้ง 3 ในคดี)

หลังการสืบพยานโจทก์ปากดังกล่าวแล้วเสร็จ นายปิยรัฐ หนึ่งในจำเลย ได้ระบุว่ารู้สึกเสียใจมากที่ถูกนำข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าส่งให้พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นการกระทำโดยมิชอบทางกฎหมาย โดยในกรณีนี้ไม่ได้มีคำสั่งศาล มีแต่เพียงหนังสือแจ้งขอข้อมูลที่ส่งจากพนักงานสอบสวนในคดี อีกทั้งข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยและส่งให้เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีฉีกบัตรนี้เลยแม้แต่น้อย

ทั้งนี้ คดีนี้เดิมมีนัดหมายการสืบพยานแบ่งออกเป็นสืบพยานโจทก์ 2 นัด และสืบพยานจำเลย 2 นัด แต่เนื่องจากการสืบพยานโจทก์ใช้ระยะเวลานาน และพยานโจทก์มีจำนวนมาก จึงใช้เวลาในการสืบพยานโจทก์ไปทั้ง 4 วัน ศาลจึงให้เลื่อนนัดหมายสืบพยานจำเลยออกไปเป็นวันที่ 13 ก.ค.60 ต่อไป

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

รัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้ แต่ “ผู้ต้องหาประชามติ” กว่า 104 ราย ยังถูกดำเนินคดี

ศาลนัดสืบพยานคดีฉีกบัตรประชามติมิถุนายนนี้ ‘โตโต้’ ให้การภาคเสธข้อหาฉีกบัตร

ตร.เร่งเรียกสอบเพิ่ม‘โตโต้กับพวก’ กรณีฉีกบัตรประชามติ ระบุเป็น‘คดีความมั่นคง’-ผู้บังคับบัญชาเร่งมา

ประมวลเหตุการณ์การคุกคามและการดำเนินคดีกับบุคคลในวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ

X