สืบพยานคดีแอบอ้างพระเทพฯ ยังไม่พบการกระทำผิดจำเลยที่ 2 – อัยการสูงสุดชี้ฟ้องคดีชอบแล้ว

19 ก.ย. 60 ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัดสืบพยานโจทก์ในคดีของนางอัษฎาภรณ์ และนายนพฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) กรณีแอบอ้างสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเรียกหาผลประโยชน์ โดยพยานหลายปากเบิกความไม่เคยได้ยินชื่อจำเลยที่ 2 มาก่อนเกิดคดี และเห็นตัวจำเลยในวันงานเพียงวันเดียว ขณะที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งยุติเรื่องการขอความเป็นธรรม โดยเห็นว่าการฟ้องชอบแล้ว ไม่มีเหตุสอบสวนเพิ่มเติมหรือถอนฟ้อง การสืบพยานยังเหลืออีก 14 นัด ในช่วงเดือนพ.ย.และธ.ค.ศกนี้

นับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 60 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดกำแพงเพชรได้เริ่มการสืบพยานโจทก์และจำเลยในคดีมาตรา 112 ข้อหาปลอมแปลงเอกสารราชการ และฉ้อโกงประชาชน  ของนางอัษฎาภรณ์ และนายนพฤทธิ์ (สงวนนามสกุล)  โดยถูกกล่าวหาว่าได้ปลอมแปลงหนังสือของสำนักราชเลขานุการ กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพฯ และนำไปอ้างแสดงต่อเจ้าอาวาสวัดป่าไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมกับผู้เสียหายอีกหลายคน และยังมีการกล่าวอ้างว่าสามารถที่จะทูลเชิญสมเด็จพระเทพฯ มาร่วมในพิธีของวัดได้ โดยมีการอ้างแสดงตนว่าเป็นหม่อมหลวง พร้อมเรียกเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ จากผู้เสียหาย ต่อมา ทางเจ้าอาวาสวัดไทรงามได้ให้ตัวแทนเข้าแจ้งความดำเนินคดี ก่อนจำเลยในคดีได้ทยอยถูกจับกุมตัวในช่วงเดือนส.ค.58

ในคดีนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับนายนพฤทธิ์ หนึ่งในจำเลย ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้รับทราบหรือเกี่ยวข้องกับการแอบอ้าง และไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากกรณีนี้ เพียงแต่ถูกเพื่อนรุ่นพี่ชวนให้ไปร่วมทำบุญของเจ้าอาวาสที่วัดในจังหวัดกำแพงเพชรในช่วงเดือนเม.ย.58 เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (ดูเรื่องราวของนพฤทธิ์)

ก่อนหน้านี้มีการนัดสืบพยานไปแล้วจำนวนทั้งหมด 5 นัด สืบพยานโจทก์แล้วเสร็จไปจำนวน 10 ปาก โดยพยานที่มาให้การมีทั้งประธานและคณะกรรมการวัดป่าไทรงาม, นายกเทศมนตรีและพนักงานเทศบาลตำบลไทรงาม, ผู้อำนวยการกองนิติการของสำนักราชเลขาธิการ, คนขับรถตู้ในวันเกิดเหตุ, ศรัทธาญาติโยมจากวัดป่าไทรงาม และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน

สำหรับพยานที่อยู่ในเหตุการณ์การทำบุญที่วัดไทรงามทั้งหมดระบุตรงกันว่าไม่เคยได้ยินชื่อจำเลยที่ 2 คือนายนพฤทธิ์มาก่อนที่จะเกิดเหตุในคดีเลย และมาพบเห็นจำเลยที่ 2 ก็ในวันงานอายุวัฒนะเจ้าอาวาสวัดป่าไทรงามเลย  ซึ่งมีการประกาศว่าจะมีหม่อมหลวงเดินทางมาเป็นประธานในงานดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 2 มาปรากฏตัวจึงได้เข้าใจว่าเป็นหม่อมหลวงตามที่วัดประกาศ เมื่อทนายจำเลยที่ 2 ทำการถามค้านพยานโจทก์ ก็ไม่มีใครได้ยินว่าจำเลยที่ 2 ได้อ้างตัวเป็นหม่อมหลวงเลย รวมถึงการแต่งกายของจำเลยที่ 2 ก็เป็นเพียงการใส่เสื้อเชิ๊ตกับกางเกงแสลคเท่านั้น  อีกทั้งพยานบางส่วนยังให้การว่าเมื่อถูกเชิญขึ้นไปเป็นประธานในการจุดธูปเทียน จำเลยที่ 2 ยังคงนั่งนิ่งเฉย จนมีผู้ไปสะกิดเพื่อให้ลุกไปจุดธูปเทียน

ขณะเดียวกันในการสืบพยานโจทก์เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 60 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสภ.ไทรงาม ยังได้เบิกความระหว่างตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านอีกว่าขณะที่ไปรับตัวจำเลยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการกองปราบจากจังหวัดอยุธยา นายนพฤทธิ์ได้เล่าให้พยานฟังว่าการไปงานอายุวัฒนะเจ้าอาวาสวัดป่าไทรงามเป็นการเชิญชวนจากนายวิเศษ ที่เป็นเพื่อนในชมรมมวยและหนึ่งในจำเลยที่ให้การรับสารภาพในคดีไปก่อนหน้านี้ แต่เมื่อไปถึงงานทำบุญ สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้นายนพฤทธิ์ทำตัวไม่ถูก ความรู้สึกขณะอยู่ในงานเหมือนกับการนั่งอยู่บนน้ำแข็ง เมื่อถูกสะกิดให้ไปจุดธูปเทียนเป็นประธานก็รู้สึกตกใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สอบถามนายนพฤทธิ์ว่าได้ไปแจ้งความเรื่องนี้หรือไม่ นายนพฤทธิ์ตอบว่าไม่ได้ไปแจ้งความ แต่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 60 ทนายความของนายนพฤทธิ์ยังได้รับหนังสือตอบกลับจากสำนักงานอัยการสูงสุด เรื่องที่ญาติของนพฤทธิ์ได้เคยยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับทางอัยการสูงสุดไว้เมื่อเดือนตุลาคม 2559 โดยร้องเรียนว่ามูลคดีทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่อัยการฟ้องจำเลยนั้น หารับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 112 การกระทำตามฟ้องไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามมาตรา 112 แต่อย่างใด จึงได้ขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาให้อัยการจังหวัดกำแพงเพชรสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมในประเด็นเกี่ยวกับรัชทายาทและขอให้ถอนฟ้องคดีในความผิดตามมาตรา 112

แต่หนังสือตอบกลับของอัยการสูงสุดระบุว่า ทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจสอบและพิจารณา คำสั่งฟ้องของพนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชรนั้นเป็นการชอบแล้ว คดีไม่มีเหตุสอบสวนเพิ่มเติมหรือถอนฟ้อง มีคำสั่งให้ยุติเรื่องการขอความเป็นธรรม

(บิดานายนพฤทธิ์ ขณะรอเข้าเยี่ยมลูกชายทีห้องขังใต้ถุนศาล )

สำหรับนายนพฤทธิ์ ตั้งแต่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 21 ส.ค.58 ได้เคยยื่นขอประกันตัวต่อศาลมาแล้วจำนวน 5 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต ทำให้เขาถูกคุมขังเรื่อยมาระหว่างการพิจารณา ขณะที่ทางทนายความยังเคยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้น ในประเด็นว่าสมเด็จพระเทพฯ มิใช่รัชทายาท ตามองค์ประกอบความผิดของมาตรา 112 และขอให้ศาลยกฟ้องในข้อหานี้ เพื่อส่งผลให้คดีเสร็จไปโดยเร็ว เนื่องจากไม่ต้องพิจารณาประเด็นสำคัญบางข้อ แต่ศาลได้วินิจฉัยโดยยกคำร้องมาแล้ว 2 ครั้ง โดยเห็นว่าการวินิจฉัยประเด็นนี้ไม่ทำให้คดีแล้วเสร็จ จึงยังไม่มีเหตุสมควรวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้

ในส่วนการสืบพยาน ยังเหลือการนัดหมายที่ศาลและคู่ความกำหนดวันนัดไว้ล่วงหน้าแล้ว อีกจำนวน 14 นัด โดยเป็นการนัดสืบในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมที่จะถึงนี้

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

“ผมเพียงแต่ถูกชวนไปทำบุญ”: เรื่องราวของ ‘นพฤทธิ์’ จำเลยมาตรา 112 คดีแอบอ้างสมเด็จพระเทพฯ

“ผมเป็นแค่คนที่ถูกกล่าวหา แต่ถูกปฏิบัติราวกับนักโทษ”: เสียงจากจำเลยคดี 112 แอบอ้างพระเทพฯ หลังการสืบพยานยังไม่เริ่ม

สมเด็จพระเทพฯไม่ใช่บุคคลตามองค์ประกอบม.112: ย้อนดูคดีในอดีตก่อนเริ่มสืบพยานคดีแอบอ้างที่กำแพงเพชร

X