จำเลยวัยรุ่นคดีเผาซุ้มฯ เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพทุกข้อหา

จำเลยวัยรุ่นคดีเผาซุ้มฯ เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพทุกข้อหา

ศาลนัดรวมพิจารณาสองคดีเข้าด้วยกัน แต่จำเลยขอให้การรับสารภาพทุกข้อหา ทุกคดี ส่วนอาญาจบ เหลือสืบพยานส่วนแพ่งอีก 1 นัด ศาลนัดฟังคำพิพากษา 31 ม.ค.31

20 พ.ย. 60 ศาลจังหวัดพลนัดพร้อมโจทก์จำเลยคดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในจังหวัดขอนแก่น คดีหมายเลขดำที่ อ.1267/2560 ซึ่งมีนายไตรเทพ (นามสมมติ) และพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย และคดีหมายเลขดำที่ 1268/2560 ซึ่งมีนายไตรเทพ (นามสมมติ) และพวกรวม 4 คน เป็นจำเลย ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดพล-โจทก์ ยื่นคำร้องขอรวมพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน

หลังจากจำเลยทั้ง 6 คน ใน 2 คดี ถูกนำตัวมายังห้องพิจารณาคดี ได้ขอปรึกษาหารือกับทนายความ และอัยการจังหวัดพล ซึ่งมาศาลในวันนี้ด้วย จากนั้น จำเลยทั้ง 6 จึงแถลงต่อศาลว่า ประสงค์จะให้การรับสารภาพทุกข้อหาตามที่โจทก์ฟ้อง

ก่อนหน้านี้ ในนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การ จำเลยในคดีทั้งสอง ให้การรับสารภาพในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาเป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจร และหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ขอให้การปฏิเสธ และขอต่อสู้คดี  ศาลจึงนัดสืบพยานโจทก์-จำเลยของคดีหมายเลขดำที่ 1267/2560 ในวันที่ 12-15 ธ.ค. 60 และ 16-19 ม.ค. 61 และสืบพยานโจทก์-จำเลยของคดีหมายเลขดำที่ 1268/2560 ในวันที่ 19-22 ธ.ค. 60 และ 23-25 ม.ค. 61 (อ่านข่าวย้อนหลังที่นี่)

เมื่อจำเลยทั้ง 6 แถลงต่อศาลว่า ประสงค์จะให้การรับสารภาพ ศาลจึงอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟัง และถามคำให้การทีละคดีอีกครั้ง จำเลยขอถอนคำให้การเดิม และให้การรับสารภาพตามที่โจทก์ฟ้องทุกข้อกล่าวหาในทั้งสองคดี และจำเลยที่ 1-4 ในคดีดำที่ 1267/2560 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1-4 ในคดีดำที่ 1268/2560 ซึ่งโจทก์ขอให้นับโทษในคดีทั้งสองต่อกัน

โจทก์และจำเลยไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบ แต่จำเลยขอยื่นคำแถลงประกอบคำรับสารภาพเป็นหนังสือภายใน 15 วัน และศาลเห็นควรให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้ง 6 รายงานต่อศาล เพื่อศาลใช้พิจารณาประกอบดุลพินิจก่อนมีคำพิพากษา ทั้งนี้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาทั้งสองคดีในวันที่ 31 ม.ค. 61 เวลา 09.00 น.

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในคดีทั้งสอง ผู้เสียหายคือ นายจำรัส นาคา ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหินตั้ง อ.บ้านไผ่ และ นายชัชวาล ตั้งวัฒนสุวรรณ นายกเทศมนตรีเทศบาลชนบท อ.ชนบท ได้ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวน 3,000 บาท และ 958,000 บาท ตามลำดับ ศาลจึงกำหนดวันนัดสืบพยานส่วนแพ่งทั้งสองคดี ในวันที่ 12 ธ.ค. 60

หนึ่งในจำเลยเปิดเผยว่า เขารู้สึกว่า การต่อสู้คดีเป็นเรื่องยาก เพื่อนผู้ต้องขังในเรือนจำก็มีการพูดถึงเรื่องการพระราชทานอภัยโทษกันมาก หลายคนก็แนะนำว่า รับสารภาพก็จะได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง ถ้าสู้เราก็จะถูกลงโทษหนัก ผมก็เลยตัดสินใจ

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จำเลยทั้ง 6 ซึ่ง 5 คน มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และอีก 1 คน อายุ 20 ปี จะตัดสินใจให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พวกเขาถูกขังในชั้นสอบสวนที่เรือนจำอำเภอพล จ.ขอนแก่น มาเป็นเวลา 48 วัน ก่อนได้รับการปล่อยตัวประมาณ 1 เดือน เนื่องจากครบกำหนดฝากขัง แต่อัยการยังไม่ยื่นฟ้องต่อศาล ต่อมา เมื่ออัยการส่งฟ้อง ศาลได้ออกหมายขังในระหว่างพิจารณาคดี และทั้ง 6 ถูกขังมาแล้วกว่า 3 เดือน รวมเวลาที่ถูกจำคุกมาแล้วเกือบ 5 เดือน โดยมี 3 คน เคยยื่นขอประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยวางหลักทรัพย์ตั้งแต่ 1-3 แสนบาท/คดี แต่ศาลจังหวัดพล รวมถึงศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่อนุญาต ในชั้นพิจารณาหลังจากที่โจทก์ฟ้องญาติจึงไม่ได้ยื่นอีก เนื่องจากโจทก์ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทอาฆาตพระมหากษัตริย์เพิ่มเข้ามา ทำให้หลักทรัพย์ประกันสูงขึ้นเกินกว่าที่ครอบครัวจะหามาได้ และมีความเป็นไปได้น้อยที่ศาลจะอนุญาต ส่วนที่เหลืออีก 3 คน ไม่เคยยื่นประกันตัวเลย เนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์

คดีนี้สืบเนื่องจากกรณีที่มีการก่อเหตุเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในอำเภอบ้านไผ่ และอำเภอชนบทในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2560 ต่อมา วันที่ 17 พ.ค. 60 ทหารและตำรวจได้เข้าจับกุมเยาวชนชาย (อายุ 14 ปี) 1 คน วัยรุ่นชาย (อายุ 18-20 ปี) 6 คน จากบ้านและสถานศึกษาในตำบลบ้านแท่น อ.ชนบท และนายฉัตรชัย จากบ้านในอำเภอโนนศิลา และจับกุมนายหนูพิณที่ จ.อุดรธานี นำไปควบคุมตัวที่มณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น และมณฑลทหารบกที่ 11 กรุงเทพฯ รวม 6 วัน โดยญาติไม่สามารถติดต่อได้ และไม่ทราบสถานที่ควบคุมตัว  ก่อนที่ศาลจังหวัดพลจะออกหมายจับผู้ต้องหาในกรณีนี้ทั้งหมดรวม 8 คน ในวันที่ 20 พ.ค. 60 และทหารส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีในข้อหา เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจร, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และทำให้เสียทรัพย์ ในชั้นสอบสวนซึ่งไม่มีทนายหรือคนที่ผู้ต้องหาไว้ใจเข้าร่วม และไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อใคร ทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยระบุว่า ได้รับการว่าจ้างด้วยเงินจำนวนไม่กี่ร้อย ผู้ต้องหาให้ข้อมูลภายหลังว่า ในขณะให้การรับสารภาพเขาไม่เข้าใจว่า เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจร คืออะไร ส่วนในการแจ้งข้อกล่าวหา ตาม ม.112 เพิ่มในภายหลัง ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนา

ทั้งนี้ เยาวชนอายุ 14 ปี ถูกแยกดำเนินคดีในศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายหนูพิณและฉัตรชัย ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาในคดีตระเตรียมวางเพลิง ซึ่งจำเลยทั้งสองเปลี่ยนใจไม่ได้ลงมือก่อเหตุ ศาลอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา ฐานเป็นอั้งยี่ ลงโทษจำคุก 1 ปี ฐานตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นและหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานหมิ่นฯ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ให้ริบของกลางคือน้ำมัน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และรถกระบะ (อ่านข่าวย้อนหลังที่นี่)

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ฟ้อง 112 แปดผู้ต้องหาคดีเผาซุ้มฯ เพิ่มเติมจาก 4 ข้อหาเดิม

คดีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ: ควบคุมตัวเด็ก 14 ในค่ายทหาร และการควบคุมตัวมิชอบที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

X