10 เรื่องควรรู้ว่าด้วยข้อหา “ดูหมิ่นศาล”

พรุ่งนี้ (17 เม.ย. 62) เวลา 10.00 น. ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ มีกำหนดจะเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ตามหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจใน 2 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาดูหมิ่นศาล และข้อหานำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยน่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือเกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีการอ่านคำแถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ที่มีความเห็นต่อคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติของศาลรัฐธรรมนูญ

คดีนี้ คสช. ได้มอบอำนาจให้พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ มาเป็นผู้แจ้งความกล่าวโทษ และเป็นอีกครั้งที่ “ข้อหาดูหมิ่นศาล” มีบทบาทในการถูกนำมาใช้กล่าวหาดำเนินคดีกับผู้แสดงออกต่อบทบาททางการเมืองของศาล ข้อกล่าวหานี้คืออะไร สำคัญอย่างไร และมีประเด็นอะไรที่แวดล้อมข้อหานี้อยู่บ้าง ต่อไปนี้เป็น 10 ข้อมูลเบื้องต้น เกี่ยวกับข้อหาดูหมิ่นศาล เพื่อช่วยทำความเข้าใจการดำรงอยู่และการใช้ข้อกล่าวหานี้ในปัจจุบัน

 

1. ข้อหา “ดูหมิ่นศาล” อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา ในลักษณะที่ 3 ความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม หมวดที่ 1 ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ในมาตรา 198 บัญญัติว่า

ผู้ใดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี หรือพิพากษาคดี หรือกระทำการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

 

2. ข้อหา “ดูหมิ่นศาล” แตกต่างจากข้อหา “ละเมิดอำนาจศาล” โดยข้อหาหลังถูกบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในมาตรา 30-33 มีลักษณะที่มุ่งคุ้มครองกระบวนการพิจารณาคดีให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปตามอย่างเที่ยงธรรมและรวดเร็ว มาตราเหล่านี้จึงให้อำนาจศาลในการออกข้อกำหนดใดๆ แก่คู่ความ (มาตรา 30) หรือให้อำนาจศาลสามารถมีคำสั่งห้ามการออกโฆษณาต่อประชาชน ซึ่งข้อความหรือความเห็นในกระบวนการพิจารณาคดี เพี่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ (มาตรา 32)

ผู้ที่ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลเหล่านั้น หรือประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ก็จะถูกพิจารณาเป็น “การละเมิดอำนาจศาล” ได้  ทั้งนี้ตามมาตรา 33 ได้กำหนดบทลงโทษผู้ละเมิดอำนาจศาลไว้ว่าศาลสามารถสั่งไล่ออกจากบริเวณศาล หรือให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ข้อหาดูหมิ่นศาลจึงมีโทษที่รุนแรงกว่าข้อหาละเมิดอำนาจศาล

ในขณะที่ข้อหา “ดูหมิ่นศาล” มีลักษณะที่มุ่งคุ้มครองสถานะและอำนาจของศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ข้อหา “ละเมิดอำนาจศาล” มีลักษณะที่มุ่งคุ้มครองกระบวนการพิจารณาคดีให้ดำเนินไปโดยสงบเรียบร้อยและรวดเร็ว หากแต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีลักษณะคลุมเครือในการตีความขอบเขตการกระทำที่นับเป็นความผิดในทั้งสองข้อหา

         ดูเพิ่มเติมในรายงาน ขอบเขตการกระทำที่เป็นการละเมิดอำนาจศาล: มองกฎหมายต่างประเทศแล้วย้อนดูไทย และรายงานโดยไอลอว์ ดูหมิ่นศาล-ละเมิดอำนาจศาล กฎหมายปกป้องศาลจากการวิจารณ์


กิจกรรมการแสดงออกของกลุ่มนักศึกษาที่หน้าศาลจังหวัดขอนแก่น ในคดีของ “ไผ่ ดาวดิน” ต่อมามีการดำเนินคดีในข้อหาละเมิดอำนาจศาล

 

3. ในข้อหาละเมิดอำนาจ กรณีที่มีการละเมิดต่อหน้าศาล และศาลพบเห็นเอง ศาลสามารถสั่งลงโทษผู้กระทำผิดได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีการสอบสวนหรือฟ้องร้อง มีลักษณะที่ศาลใช้อำนาจโดยรวบรัด ข้อหานี้ยังมีลักษณะพิเศษคือเป็นกฎหมายในส่วนแพ่ง แต่มีกำหนดบทลงโทษทางอาญาคือจำคุกเอาไว้ด้วย แม้ในทางทฤษฎีจะถือว่าไม่ใช่โทษทางอาญาก็ตาม

ในขณะที่คดีดูหมิ่นศาล ถือเป็นคดีอาญา ยังต้องมีกระบวนการร้องทุกข์กล่าวโทษ สอบสวน ฟ้องร้อง และกระบวนการพิจารณาคดีเป็นไปตามขั้นตอนของวิธีพิจารณาความอาญาตามปกติ แต่ความผิดฐานดูหมิ่นศาลถือได้ว่าเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่สามารถยอมความกันได้ และยังเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ไปแจ้งความกล่าวโทษได้

ข้อหาดูหมิ่นศาลยังแตกต่างจากข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา โดยข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดานั้น ผู้เสียหายต้องเป็นฝ่ายไปดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ด้วยตนเอง และสามารถยอมความกันได้ แต่การแจ้งความในคดีดูหมิ่นศาล ผู้เสียหายคือผู้พิพากษาหรือศาลนั้นๆ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย อาจไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลยด้วยซ้ำ

นอกจากนั้น ทั้งในคดีดูหมิ่นศาลและละเมิดอำนาจศาล ผู้พิจารณาพิพากษาคดีล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลซึ่งอยู่ในสถาบันศาลเอง ซึ่งอาจจะส่งผลถึงความเป็นอิสระและความเป็นกลางได้ในทางปฏิบัติ

 

 

4. ข้อหาดูหมิ่นศาลถูกเพิ่มโทษภายหลัง 6 ตุลา หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 คณะรัฐประหารในยุคนั้นได้ออกคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 แก้ไขเพิ่มอัตราโทษในข้อกฎหมายหลายมาตราที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและดูหมิ่น หนึ่งในนั้นคือข้อหา “ดูหมิ่นศาล” ตามมาตรา 198 นี้เอง ที่ถูกแก้ไขจากโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท ให้มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-14,000 บาท มาจนถึงปัจจุบัน

เช่นเดียวกับข้อหาหมิ่นประมาทและดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ในมาตรา 112 ก็ถูกแก้ไขเพิ่มโทษจากคำสั่งของคณะรัฐประหาร หลัง 6 ตุลาคม 2519 ฉบับนี้เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายในเรื่องเหล่านี้ จึงสัมพันธ์กับบริบททางการเมืองอย่างยิ่ง

 

5. หากพิจารณาคำพิพากษาศาลฎีกา มีคดีในข้อหา “ดูหมิ่นศาล” ที่ปรากฏเผยแพร่อยู่เว็บไซต์ศาลฎีกาไม่มากนัก จำนวนไม่ถึง 10 คดี หลายคดีมีลักษณะเป็นกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นเรื่องต่อหน่วยงานต่างๆ ขอให้ตรวจสอบผู้พิพากษาบางราย เนื่องจากเห็นว่าดำเนินการพิจารณาคดีโดยไม่เป็นธรรม แต่ผู้ร้องเรียนกลับถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นศาล

อาทิเช่น คดีที่จำเลยทำหนังสือยื่นต่อนายกรัฐมนตรี โดยร้องเรียนให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ได้พิจารณาคดีที่จำเลยฟ้องกระทรวงยุติธรรม โดยหนังสือมีการกล่าวหาว่าผู้พิพากษาทำผิดวินัยทุจริตต่อหน้าที่ จงใจตัดสินคดีโดยแหวกแนวนอกเหนือกฎหมาย และตัดสินความโดยความโง่เขลาไม่รอบรู้กฎหมาย คดีนี้ศาลฎีกาลงโทษจำคุก 6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี (ฎีกาที่ 580/2505)

อีกคดีหนึ่ง จำเลยถูกกล่าวหาว่าได้พูดกับหน้าบัลลังก์ว่า “ไม่นึกเลยว่าสำนวนนี้จะมาตกอยู่แก่คนๆ นี้” ทั้งจำเลยและพวกยังทำหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ร้องเรียนผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีของตนว่าดำเนินกระบวนพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีอคติลำเอียงเข้าข้างโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการใส่ความผู้พิพากษาท่านนั้นให้เสียชื่อเสียง จึงลงโทษจำคุก 2 เดือน (ฎีกาที่ 1456/2506)

ในอีกคดีหนึ่ง จำเลยกับพวกถูกกล่าวหาว่าได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อปลัดกระทรวงยุติธรรมว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนที่พิจารณาคดีของพวกตน ได้ไปร่วมรับประทานอาหารเลี้ยงกับฝ่ายโจทก์ หลังได้พิพากษาให้ฝ่ายโจทก์ชนะคดี แม้จำเลยที่ถูกกล่าวหาจะยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง แต่คดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นความเท็จ จึงพิพากษาจำคุก 2 ปี (ฎีกาที่ 1124/2507)

จะเห็นได้ว่าคดีตัวอย่างเหล่านี้ มีลักษณะเป็นกรณีที่ประชาชนหรือคู่ความในคดีพยายามร้องเรียนตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้พิพากษาในศาล แต่มักจะถูกพิจารณาว่าเป็นข้อร้องเรียนที่ไม่เป็นความจริง ทำให้กลับกลายเป็นการดูหมิ่นศาลไปเสียเอง  รวมทั้งในคดีเหล่านี้ ศาลด้วยกันเองยังทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินพิพากษาคดีเอง แม้จะไม่ใช่ผู้พิพากษารายที่ได้รับ “ความเสียหาย” จากการร้องเรียนนั้นๆ โดยตรงก็ตาม

 

6. ในขณะที่ข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา (มาตรา 326) มีการกำหนดข้อยกเว้นทั้งในเรื่องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม (มาตรา 329) การพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง (มาตรา 330) รวมทั้งคู่ความหรือทนายความของคู่ความ ซึ่งแสดงความคิดเห็นต่อกระบวนพิจารณาคดีในศาล เพื่อประโยชน์แก่คดีของตน (มาตรา 331) ทั้งหมดนี้ถือว่าไม่มีความผิดในฐานหมิ่นประมาท

หากแต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าข้อยกเว้นเหล่านี้ จะถูกนำมาใช้พิจารณาร่วมกับข้อหาหมิ่นประมาทและดูหมิ่นที่ถูกบัญญัติไว้หมวดอื่นๆ รวมทั้งการดูหมิ่นศาลด้วยหรือไม่ แต่หากพิจารณาข้อหาหมิ่นประมาท-ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 112 ก็ไม่เคยมีแนวทางที่ศาลใช้ข้อยกเว้นในส่วนความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดามาใช้ในการพิจารณาร่วมด้วยแต่อย่างใด

 

ภาพทนายอานนท์ นำภา เข้ารับทราบข้อกล่าวหาดูหมิ่นศาล และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีการโพสต์วิพากษ์วิจารณ์บทบาทของศาล

 

7. ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หลังการรัฐประหาร 2557 ข้อหาดูหมิ่นศาลถูกนำใช้กล่าวหาดำเนินคดีต่อนักการเมืองและนักกิจกรรมมาแล้ว โดยล้วนเกิดจากการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของตุลาการที่ทำหน้าที่พิพากษาตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เท่าที่มีข้อมูลปรากฏได้แก่

คดีของวัฒนา เมืองสุข นักการเมืองพรรคเพื่อไทย ที่ถูกพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ รับมอบอำนาจจาก คสช. เป็นผู้แจ้งความกล่าวโทษที่ บก.ปอท. เช่นเดียวกัน ในข้อหาดูหมิ่นศาลและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีการโพสต์เฟซบุ๊กมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ คสช. และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำนวน 2 ข้อความ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2560

อีกคดีหนึ่ง ได้แก่ คดีของอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน โดยมี พ.ต.ท.สุภารัตน์ คำอินทร์ เป็นผู้ไปแจ้งความต่อ บก.ปอท. ในข้อหาดูหมิ่นศาลและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีการโพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาของศาลจังหวัดขอนแก่นในคดีของ 7 นักศึกษาที่ถูกกล่าวหาเรื่องการละเมิดอำนาจศาล และต่อมาพนักงานสอบสวนยังมีการแจ้งข้อกล่าวหาสองข้อหานี้เพิ่มเติมอีก จากการโพสต์เฟซบุ๊กยืนยันการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลขอนแก่นในคดีของไผ่ ดาวดิน และคดีละเมิดอำนาจศาล และการโพสต์บทกวีชื่อ “บทกวีถึงมหาตุลาการ” วิพากษ์วิจารณ์บทบาทขององค์กรตุลาการ

จนถึงปัจจุบัน ทั้งสองคดียังอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีเช่นเดียวกัน

 

วัฒนา เมืองสุข เป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกดำเนินคดีทั้งข้อหาดูหมิ่นศาล และละเมิดอำนาจศาล (ภาพจากวอยซ์ทีวี)

 

8. ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2558 ยังมีทนายความสิทธิมนุษยชนด้านแรงงานอีกท่านหนึ่ง ได้แก่ ทนาย “สหรัถ” (นามสมมติ) ถูกดำเนินคดีถึง 2 คดี ทั้งในข้อหาละเมิดอำนาจศาล และข้อหาดูหมิ่นศาล-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยถูกกล่าวหาว่าเขาและลูกความซึ่งเป็นผู้ใช้แรงงานหลายคน รวมตัวกันแสดงความไม่พอใจที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีด้วยเหตุที่เขาไม่มาศาลในวันนัด เพราะเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปแจ้งเลื่อนคดีแล้ว เมื่อได้เข้าพบผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน “สหรัถ” ถูกกล่าวหาว่าได้พูดจาแสดงความไม่พอใจว่าจะร้องเรียนศาล และต่อมาได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะว่า “วันนี้รู้แล้วว่าศาลแรงงานรับใช้นายทุน…”

ในคดีข้อหาดูหมิ่นศาล ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาพิพากษาให้ “สหรัถ” มีความผิด แต่ให้รอการกำหนดโทษไว้ 2 ปี ขณะที่ข้อหาละเมิดอำนาจศาลถูกดำเนินคดีโดยศาลแรงงานภาค 1 (สระบุรี) มีการต่อสู้ไปถึงชั้นศาลฎีกา และได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ แม้ในคดีนี้ทางฝ่ายจำเลยจะพยายามต่อสู้ว่าการกระทำความผิดที่ถูกกล่าวหากระทำความผิดกรรมเดียว ไม่ควรต้องรับโทษสองครั้งก็ตาม

        ดูเพิ่มเติมในฐานข้อมูลโดยไอลอว์ สหรัถ”: ทนายแรงงานละเมิดอำนาจศาล

 

ภาพสุดสงวน สุธีสร ถูกดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาล (ภาพจากมติชนสุดสัปดาห์)

 

9. ขณะเดียวกันในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา ข้อหา “ละเมิดอำนาจศาล” ที่อยู่ในกฎหมายแพ่ง ก็ถูกนำมาใช้กล่าวหาและดำเนินคดีนักการเมือง นักกิจกรรม หรือนักวิชาการ ที่มีบทบาททางการเมือง อย่างเข้มข้นขึ้นด้วยเช่นกัน

อาทิเช่น กรณีของวัฒนา เมืองสุข ที่ถูกกล่าวหาด้วยคดีละเมิดอำนาจศาลอีกถึง 2 คดี จากการเฟซบุ๊กไลฟ์ในศาลอาญา และจากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหน้าศาลอาญา ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องกรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหน้าศาล โดยศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้นัดหมายผู้สื่อข่าวมา และการตอบคำถามผู้สื่อข่าวก็เหมือนบุคคลทั่วไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีหรือมีผลกระทบต่อคดี ไม่ถือว่าเป็นการประพฤติไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล

หรือคดีที่ 7 นักศึกษาถูกกล่าวหาโดยศาลจังหวัดขอนแก่นจากการทำกิจกรรมนอกรั้วศาล เพื่อให้กำลังใจ ‘ไผ่ ดาวดิน’  คดีนี้ยังอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีไปยังชั้นศาลฎีกา หลังจากก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิด โดยระบุเรื่องการทำรูปสัญลักษณ์คล้ายตาชั่ง อันหมายถึงศาลเอียงไปทางรองเท้าบู๊ทซึ่งหมายถึงทหาร ย่อมทำให้สถาบันศาลต้องถูกลดทอนศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือ

รวมทั้งกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก 1 เดือน ต่อสุดสงวน สุธีสร อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงร่วมวางพวงหรีดหน้าศาลแพ่งรัชดาฯ คัดค้านคำสั่งศาลที่ห้ามใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กับการชุมนุมของ กปปส.

ปรากฏการณ์ที่ทั้งคดีละเมิดอำนาจศาลและดูหมิ่นศาล กลายมาเป็นประเด็นในสังคม และถูกนำมาใช้ต่อผู้แสดงออกหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเหล่านี้ เกิดขึ้นภายใต้บริบทของการที่องค์กรตุลาการมีส่วนสำคัญในการเข้าไปรับรอง และยกเว้นการตรวจสอบอำนาจของคณะรัฐประหารกับระบบกฎหมายของคณะรัฐประหาร รวมทั้งการใช้อำนาจต่างๆ ที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน  ทั้งด้วยบทบาททางการเมืองของศาลภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 10 ปีเศษที่ผ่านมา ทำให้สังคมเองยังมีการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทขององค์กรตุลาการอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้นด้วย

        ดูเพิ่มเติมในรายงาน “อภินิหารทาง ‘กฎหมาย’ สถาบันตุลาการกับรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557: บทวิเคราะห์ 3 ปีรัฐประหารของ คสช.

 

(ภาพจากเพจพรรคอนาคตใหม่ – Future Forward Party)

 

10. กรณีการถูกดำเนินคดีของปิยบุตร แสงกนกกุล อาจนับได้ว่าเป็นกรณีการถูกดำเนินคดีข้อหาดูหมิ่นศาลที่เกิดจากการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญคดีแรกหลังการรัฐประหาร 2557 หลังจากตลอด 13 ปี ที่ผ่านมา ในวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองของไทย ศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทสำคัญในการสร้างจุดเปลี่ยนทางการเมือง และเข้ามาไปมีส่วนวินิจฉัยชี้ขาดข้อขัดแย้งทางการเมืองต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อบทบาทดังกล่าวตลอดมา

ในยุคของ คสช. ทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังมีการผ่าน พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ซึ่งมีการกำหนดเรื่องการละเมิดอำนาจศาลเพิ่มเติม โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติ หรือมีคําสั่งให้บุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดกระทำการหรืองดเว้นกระทําการ เพื่อให้กระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ (มาตรา 38)  ผู้ฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าว ให้ศาลมีอํานาจตักเตือน ไล่ออกจากบริเวณศาล หรือลงโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับได้ (มาตรา 39)

แม้จะมีการกำหนดไว้ด้วยว่าการวิจารณ์คําสั่งหรือคําวินิจฉัยคดีที่กระทําโดยสุจริต และมิได้ใช้ถ้อยคําหรือมีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย ไม่มีความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล  แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าการให้อำนาจกับศาลในการออกข้อกำหนดลักษณะดังกล่าวนั้น อาจเปิดช่องให้ศาลออกข้อกำหนดทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่เกี่ยวกับคำวินิจฉัย หรือการพิจารณา ก็เป็นละเมิดอำนาจศาลได้

รวมทั้งยังต้องกังวลเรื่องการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ โดยการนำข้อหาเรื่องการดูหมิ่นศาล ซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาใช้กล่าวหาดำเนินคดีต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาหรือบทบาทของศาล ดังที่กำลังเกิดขึ้นในคดีของรองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่นี้

        ดูในรายงานโดยสำนักข่าวประชาไท ศาลรัฐธรรมนูญกับสภาวะวิกฤติทางการเมือง (2549-2562)

 

X