ศาลฎีกายกฟ้องข้อหาร่วมกันฆ่าคดียิงเวที กปปส.ตราด แต่ให้จำคุก “วัชระ” ข้อหาครอบครองอาวุธ

เมื่อ 22 ..2562 ศาลจังหวัดตราดได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีเหตุยิงและปาระเบิดเวที กปปส.ตราด โดยศาลยังคงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คนในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่า แต่ศาลได้กลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในข้อหาครอบครองอาวุธเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นแต่เพิ่มโทษจำคุกเป็น 8ปี จากเดิมที่ศาลชั้นต้นเคยพิพากษาให้จำคุก 5 ปี

คดีนี้อัยการได้ฟ้องนายวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 นายสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 และนายสมศักดิ์ สุนันท์ จำเลยที่ 3 ในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้, พาอาวุธไปในที่สาธารณะ, ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในการทำความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นและร่วมกันยิงปืนในที่สาธารณะ คดียิงและระเบิดเวทีการชุมนุมของ กปปส. ที่จังหวัดตราด เมื่อวันที่ 22 .. 2557

ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน ข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าและข้อหาพกพาอาวุธไปที่สาธารณะ เนื่องจากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือมากพอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 3 คน เพราะคำให้การของเศก จันทสาร พยานฝ่ายโจทก์นั้น ตามคำเบิกความเศกก็อยู่ในฐานะผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยแต่ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินคดีกับเศกในคดีนี้

อีกทั้งหลังเกิดเหตุทหารได้คุมตัวเศกไปที่ชุดควบคุมทหารพรานที่ 1 เป็นเวลา 4 วัน โดยเขาได้เบิกความว่าทหารที่คุมตัวได้บอกกับเขาว่าหากให้ความร่วมมือด้วยดี ก็จะเป็นสิ่งดี และระหว่างที่เศกถูกควบคุมตัวอยู่ยังถูกเจ้าหน้าที่ทหารซักถามให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จึงมีเหตุให้สงสัยว่าคำเบิกความของเศกนั้นเป็นไปตามความจริงหรือเบิกความเพื่อให้ตนพ้นผิดหรือไม่ ทำให้น้ำหนักของคำเบิกความของเศกมีน้ำหนักน้อย

อีกทั้งอาวุธของกลางที่พิสูจน์ได้ว่าใช้ในการก่อเหตุที่ตรวจยึดได้จากบ้านของจันทนา วรากรสกุลกิจในจังหวัดสมุทรสาครนั้น โจทก์ก็ไม่ได้มีพยานหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยทั้ง 3 คนเป็นผู้ครอบครองปืนที่ใช้ก่อเหตุ

แต่ศาลฎีกาได้พิพากษากลับในส่วนข้อหาครอบครองอาวุธของวัชระ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 โดยให้เหตุผลว่าอาวุธที่ตรวจยึดได้ที่บ้านของณรงค์ กระจ่างกลางนั้น เจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวจำเลยที่ 1 ไปที่บ้านขงณรงค์เพื่อตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนและอุปกรณ์สำหรับประกอบระเบิด ตามบันทึกการตรวจยึดจำเลยที่ 1 เป็นผู้พาเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจไปตรวจยึดของกลางดังกล่าว ศาลเห็นว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้พาเจ้าหน้าที่ไปตรวจยึดก็เป็นการยากที่เจ้าหน้าที่จะตรวจค้นเจอได้โดยง่าย และจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วย

นอกจากนั้นตำรวจและทหารต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับวัชระมาก่อนจึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าได้นำของกลางดังกล่าวจากที่อื่นมากล่าวหาจำเลยให้ได้รับโทษ พยานหลักฐานในส่วนนี้จึงมีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองอาวุธและเครื่องกระสุนปืน และอุปกรณ์ระเบิดตามบันทึกตรวจยึดของกลาง

ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกวัชระ 8 ปี ในข้อหาตามพ...อาวุธปืนฯ พ.. 2490 มาตรา 55 และ 78 วรรคหนึ่ง ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และยกฟ้องข้อหาอื่นของจำเลยที่ 1ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ศาลให้ยกฟ้องทุกข้อหาตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

ทั้งนี้ในชั้นอุทธรณ์ ศาลพิจารณายกฟ้องวัชระในประเด็นการครอบครองอาวุธที่ตรวจพบที่บ้านของณรงค์ กระจ่างกลางเอาไว้ว่าพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ไม่สอดคล้องต้องกันเพราะเอกสารตรวจยึดของกลางดังกล่าวนั้นเป็นการจัดทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายเดียวและข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์เองก็ให้การว่าไม่เคยพบเห็นอาวุธตามที่ปรากฏในบันทึกตรวจยึดแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่สามารถรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติดได้แน่นอนพยานหลักฐานตามทางนำสืบของโจทก์จึงปราศจากสาระสำคัญที่จะเรียงลำดับเหตุการณ์ได้อย่างมีเหตุผลสอดคล้องจนมีน้ำหนักมากพอแก่การรับฟัง

นอกจากคดีนี้แล้วจำเลยที่ 2 สมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ยังถูกแยกฟ้องอีกเป็นคดีที่สองในข้อหาครอบครองอาวุธจากของกลางที่ตรวจพบเจอที่บ้านของจันทนา ทั้งนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องเนื่องจากไม่มีประจักษ์พยาน อีกทั้งโจทก์ยังมีเพียงคำให้การขอสมศักดิ์ที่ให้การไว้ในฐานะพยาน ที่เกิดขึ้นจากการตกลงกันว่าหากจำเลยให้ความร่วมมือจะไม่มีการดำเนินคดีกับจำเลย จึงเป็นหลักฐานที่มาจากการจูงใจไม่ได้ให้การด้วยความสมัครใจ ทำให้เป็นหลักฐานที่ไม่สามารถรับฟังได้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่หนักแน่นเพียงพอที่จะใช้ในการพิจารณาลงโทษจำเลย

นอกจากนั้นจะเห็นได้ว่าคดีนี้มีการเชื่อมโยงกับคดีของจันทนา วรากรสกุลกิจ ที่ถูกดำเนินคดีข้อหาครอบครองอาวุธ ศาลพิพากาาลงโทษจำคุก 27 ปี 9 เดือนแต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือจำคุก 17 ปี 18 เดือน และปรับเป็นเงิน 4,000 บาท ซึ่งภายหลังเธอยังถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่า เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าร่วมกันก่อเหตุซึ่งเป็นพฤติการณ์เดียวกับคดีที่ศาลฎีกาพิพากษาครั้งนี้ด้วย คดีส่วนของจันทนาศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษายกฟ้องด้วยเหตุผลเดียวกับที่ยกฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้ แต่คดียังอยู่ระหว่างรอการอุทธรณ์

X