ศาลทหารสั่งโอนคดี ม.112 ‘ประจักษ์ชัย’ ไปศาลพลเรือน แม้จำเลยเพิ่งเสียชีวิตจากอาการป่วย

19 ก.ค. 2562 ศาลทหารกรุงเทพนัดสืบพยานจำเลยคดีที่ประจักษ์ชัย (สงวนนามสกุล) ผู้ป่วยจิตเวช ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากข้อความที่เขียนในคำร้องต่อศูนย์บริการประชาชน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน แต่เนื่องจากจำเลยเสียชีวิตแล้ว ทนายความจึงยื่นคำร้องให้ศาลจำหน่ายคดี แต่ศาลทหารกรุงเทพไม่มีอำนาจสั่งคดีตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 จึงจะรวบรวมสำนวนส่งให้ศาลพลเรือนเป็นผู้สั่งคดีแทน

ประมาณ 09.30 น. องค์คณะตุลาการศาลทหารกรุงเทพออกนั่งพิจารณาคดี พยานจําเลยที่นัดไว้ในวันนี้ไม่มาศาล โดยทนายจําเลยยื่นคําร้องขอให้ศาลจําหน่ายคดี พร้อมแถลงประกอบคําร้องว่า ได้รับแจ้งจากญาติจําเลยว่าจําเลยเสียชีวิต เนื่องจากเลือดออกในทางเดินอาหาร เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2562 และแนบสําเนามรณบัตรมาด้วย

ศาลแจ้งให้คู่ความทราบว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2562 ได้มีคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจําเป็น กําหนดให้คดีที่อยู่ในอํานาจของศาลทหาร ตามประกาศและคําสั่งดังกล่าว ไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 2562 เป็นต้นไป แต่ให้อยู่ในอํานาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้งดการสืบพยานจําเลยในวันนี้ และงดการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้โอนคดีไปศาลยุติธรรม กับจําหน่ายคดีจากสารบบความในศาลนี้ ให้มีหนังสือไปยังสํานักงานศาลยุติธรรม และให้ทนายจําเลยยื่นสําเนามรณบัตรที่มีเจ้าหน้าที่รับรองว่าถูกต้องต่อศาลใหม่โดยเร็ว เพื่อรวบรวมส่งศาลยุติธรรม ก่อนส่งสํานวนให้จ่าศาลถ่ายสําเนาสํานวนและเอกสารต่างๆ ทั้งหมดเก็บไว้ที่ศาลนี้ด้วย

คดีนี้นับเป็นคดีที่ 3 ที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ความช่วยเหลือทางคดีและได้รับการโอนคดีไปยังศาลพลเรือนตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 ต่อจากคดีครอบครองระเบิด RGD5 และคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ของอัญชัญ

สำหรับเหตุในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 58 เมื่อประจักษ์ชัยได้เดินทางไปที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพร.) ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อพล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่หลังจากเขียนคำร้องส่งให้ทหารยาม เขาได้ถูกจับกุมดำเนินคดีตามมาตรา 112  

ประจักษ์ชัยได้ถูกส่งตัวเข้ารับการตรวจรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ระหว่างฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ จิตแพทย์ลงความเห็นว่าเขาเป็นโรคจิตเภท และขณะก่อเหตุก็ทำไปเนื่องจากมีอาการ แพทย์ที่ทำการตรวจรักษายังระบุอีกว่าประจักษ์ชัยมีอาการหลงผิดชัดเจน มีความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และมีระบบความคิดไม่ต่อเนื่องไม่สามารถเรียบเรียงความคิดเป็นรูปร่างได้ แม้ว่าการสนทนากันในช่วงแรกจะสามารถพูดคุยได้รู้เรื่อง แต่เมื่อคุยไปนานๆ จึงจะเห็นว่าระบบความคิดไม่ต่อเนื่อง ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการของคนไข้จิตเภท

นอกจากนั้น แม่และพี่สาวของประจักษ์ชัยเล่าว่าตั้งแต่อายุ 18-19 ปี ก็เริ่มปรากฏอาการทางจิต ลักษณะอาการคือตะโกนเสียงดังด้วยคำที่ไม่มีความหมาย หัวเราะหรือพูดคนเดียว เขาได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลและได้รับยามา แต่ปกติไม่เคยทำร้ายใคร และยังสามารถทำงานได้ 

แม้คดีนี้ จิตแพทย์ได้เคยมีความเห็นสรุปได้ว่าประจักษ์ชัยวิกลจริตจริง ศาลทหารจึงสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวจนกว่าจะสู้คดีได้ และให้ประกันตัวจำเลยด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท แต่เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 59 จิตแพทย์ได้ให้การต่อศาลทหารในนัดประเมินความสามารถในการต่อสู้คดีว่าอาการจำเลยดีขึ้นแล้วสามารถสู้คดีได้ ศาลทหารจึงได้เริ่มมีการพิจารณาสืบพยานในคดีต่อมา เป็นเวลา 3 ปีกว่าแล้ว และถึงปัจจุบันคดีก็ยังไม่สิ้นสุด จนกระทั่งจำเลยเสียชีวิตลง

 

ดูเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ป่วยจิตเภทที่ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมใน คุยกับจิตแพทย์: เมื่อผู้ป่วยจิตเภทเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรม

 

X