บันทึกความทรงจำถึง “ดา ตอร์ปิโด” ก่อนเดินทางไกล

แมวสีเทา

หากกล่าวถึงบุคคลที่เป็นนักสู้ทางการเมือง คนหนึ่งที่ฉันนึกถึง คือ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” อดีตผู้ต้องหาคดีมาตรา 112  ฉันรู้จักกับพี่ดามาได้สักระยะหนึ่ง แต่เป็นช่วงที่พี่ดานั้นป่วยด้วยโรคร้ายแล้ว ครั้งแรกที่ได้เจอ ประโยคแรกที่ฉันจำได้ดี พี่ดาพูดว่า “พี่เชื่อว่าสักวันหนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตยเราจะเป็นผู้ชนะ” เธอมีความหวังเสมอ และเชื่อว่าสักวันหนึ่งการต่อสู้ของเธอและทุกๆ คนตลอดเวลาที่ผ่านมาจะไม่สูญเปล่า

พี่ดาดูเป็นคนดุ แต่พอได้คุยกันไปสักระยะหนึ่งก็สัมผัสได้ว่าพี่ดาเป็นคนใจดีมาก และพูดเก่งมากด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พี่ดาพยายามทำให้เราเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร ยังแข็งแรงดี ทั้งที่จริงๆ แล้วร่างกายเธอตอนนั้นทรุดลงอย่างมาก  แต่ก็ไม่เท่าต่อมา หลังฉันได้รับข่าวจากเพื่อนที่พาพี่ดาไปพบหมอ เพื่อนได้แจ้งข่าวกลับมาว่าหมอไม่สามารถให้คีโมกับพี่ดาได้อีก เพราะร่างกายรับไม่ไหวแล้ว เพื่อนบอกอีกว่าตอนนั้นพี่ดาดูหมดหวังและเศร้าหมองอย่างมาก แกได้แต่บอกว่าทุกอย่างมันจบลงแล้วค่ะ พี่คงอยู่ได้อีกไม่นาน ตั้งแต่นั้นมา พี่ดาก็ไม่ให้ใครเข้าไปเยี่ยมอีกเลย ฉันและเพื่อนๆ จึงทำได้แต่สอบถามอาการเธอ จากการคุยผ่านไลน์

ภาพวาดโดย “ศรีเปตร”

.

วันที่ 6 พฤษภาคม 2563 ขณะอยู่บ้าน ฉันและเพื่อนได้รับข้อความแจ้งว่าอาการพี่ดาทรุดลงอย่างรวดเร็วมาก  ฉันรีบทำธุระส่วนตัวและเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราช เมื่อไปถึงก็พบกลุ่มพี่ๆ ที่ช่วยดูแลพี่ดาในช่วงเจ็บป่วยอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ตอนนั้นพี่ดากำลังพักผ่อนจึงเข้าเยี่ยมยังไม่ได้

เวลาผ่านไปสักพัก พอพี่ดาตื่นนอน ฉันจึงได้เข้าเยี่ยม ฉันยกมือไหว้ พร้อมถามพี่ดาว่าเป็นอย่างไรบ้าง พี่ดาพอมีปฏิกิริยาตอบโต้บ้าง แต่ค่อนข้างอ่อนแรง พี่ดาพยายามพูดคุยกับทุกคนที่มาเยี่ยมตลอด เธอพยายามแสดงออกให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองยังไหว ก่อนกลับจู่ๆ พี่ดาก็ละเมอขึ้นมาว่าตัดงบต้องตัดงบ 62 ล้าน ตอนนั้นเรายืนงงกันมาก จึงปลุกให้พี่ดาตื่น เธอตื่นขึ้นมาแล้วบอกเราว่ามีเงิน 60 ล้าน พี่ที่ดูแลพี่ดาจึงบอกเธอว่าเมื่อกี้คือความฝัน แล้วเราก็ยืนหัวเราะกับความฝันนั้น พี่ดาตื่นมาพูดคุยต่อสักพัก เธอก็พักผ่อนเหมือนเดิม เราจึงขอตัวกลับ เพราะกลัวว่าจะกลับไม่ทันเคอร์ฟิว

วันต่อมา ฉันและเพื่อนได้ไปช่วยผลัดกันเฝ้าพี่ดาที่โรงพยาบาลในช่วงบ่าย เธอนอนทั้งวันด้วยร่างกายที่อ่อนเพลีย พอพี่ดาตื่นเราพยายามชวนคุย พี่ดารับรู้ว่าเราพูดอะไรและเธอก็พยายามจะตอบ แต่ร่างกายที่แสดงออกมาตอนนั้น มีเพียงเสียงอู้อี้จากลำคอและเธอไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ ตอนนั้นฉันรู้สึกไม่สบายใจมาก เพราะเห็นอาการเธอทรุดลงไปจากก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่เวลาไม่ถึงวัน จากที่สามารถพูดคุยตอบสนองได้ปรกติ กลับกลายเป็นนอนหลับตาและไม่สามารถตอบโต้เราได้เหมือนเดิม

เรานั่งเฝ้าได้สักพัก คุณหมอก็เข้ามาพาพี่ดาไปทำแผล เนื่องจากแผลที่หน้าอกของเธอนั้นซึมออกมา คุณหมอได้เดินออกมาจากห้องทำแผลเพื่อเรียกฉันและเพื่อนเข้าไปช่วยเปลี่ยนผ้าก็อซให้พี่ดา ฉันได้เข้าไปในมุมที่มองเห็นแผลและเลือดที่ออก ฉันเองก็กลัวเลือดมาก ตอนนั้นทำได้เพียงหลับตาและให้เพื่อนช่วยกันอีกแรง ขณะที่คุณหมอทำแผลให้ ฉันได้สังเกตอาการตอบสนองของพี่ดา ตอนนั้นเธอน่าจะรู้สึกตัวและคงจะเจ็บ แต่อาการตอบสนองของพี่ดามีเพียงแค่การเบ้หน้าเล็กน้อย และเสียงอู้อี้ที่ไม่ได้ความ แต่ก็เป็นเหมือนเดิมคือพี่ดาไม่ลืมตาเลย จนทำแผลเสร็จ คุณหมอก็พาเธอกลับไปที่เดิม

ตลอดทั้งวันพี่ดายังไม่ได้ทานอะไร พอเธอตื่นเราจะป้อนอาหาร พี่ดาก็หลับไปเหมือนเดิม เธอดูอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก ฉันและเพื่อนนั่งเฝ้าตลอดทั้งวัน จนเวลาเกือบทุ่มอาจารย์ก็มาเปลี่ยนผลัดเฝ้าแทน ฉันและเพื่อนจึงเดินทางกลับ อาจารย์ได้แจ้งอาการพี่ดาเป็นระยะ แต่ล้วนเป็นอาการแบบไม่สู้ดีนัก จนสักพักพี่ดาต้องเข้าห้องไอซียู เพราะอาการหนักมากขึ้นอีก

ตกดึกเวลาประมาณเที่ยงคืนห้าสิบเจ็ดนาที ได้รับข้อความจากอาจารย์แจ้งว่าพี่ดาเสียชีวิตแล้ว พอทราบข่าวนั้นฉันและเพื่อนทำอะไรไม่ถูก ด้วยความตกใจกันอย่างมาก อาจารย์จึงบอกให้พักผ่อน เพราะตอนเช้าต้องจัดการธุระอีกเยอะ

เช้าวันต่อมา ฉันและเพื่อนได้รับมอบหมายให้ไปช่วยเก็บข้าวของของพี่ดาที่ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วย หรือเนิร์สซิ่งโฮม พอไปถึงพยาบาลที่ดูแลก็ได้นำเราขึ้นไปยังห้องของพี่ดา พยาบาลเล่าว่าพี่ดาอาการทรุดลงหนักมากๆ แต่เธอไม่ยอมไปหาหมอ ได้แต่บอกทุกคนว่าแข็งแรงดี จนต้องให้คนมาหลอกล่อพาไป ขนาดไปโรงพยาบาลแล้ว พี่ดายังดื้อขอกลับมาที่เนิร์สซิ่งโฮมอีก

แล้วพี่พยาบาลก็เล่าอีกว่าที่จริงแล้วพี่ดาเป็นคนไม่กินสมุนไพรเลย แต่พอทราบว่าอาการเริ่มทรุดหนักลง พี่ดาก็เริ่มซื้อสมุนไพรมาทาน เพราะอยากให้อาการดีขึ้น อีกเหตุผลที่พี่ดาไม่อยากไปโรงพยาบาลและไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดภายในร่างกาย ก็เพราะการรักษาทำให้เธอเจ็บปวด ทั้งการต้องเจาะเลือด การเผชิญกับขั้นตอนการรักษาอย่างต่อเนื่อง พี่ดาจึงไม่ค่อยอยากจะไปโรงพยาบาลเท่าไรนัก

ตลอดเวลาที่ฉันได้รู้จักกับพี่ดา พี่ดาทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่เข้มแข็ง ไม่ว่าปัญหาที่เข้ามาในชีวิตของพี่ดาจะหนักหนาขนาดไหน พี่ดาก็ยังกล้าที่จะต่อสู้กับมัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ จนตัวเองต้องถูกจำคุกเป็นเวลา 8 ปี ต้องต่อสู้กับชีวิตความเป็นอยู่ภายในเรือนจำ พอถึงวันที่พี่ดาพ้นโทษและได้รับอิสรภาพกลับมาใช้ชีวิตในสังคมปกติ เธอก็ยังต้องมาต่อสู้กับโรคร้ายที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

ตลอดเวลาที่รู้จักกัน พี่ดาแสดงออกให้ฉันเห็นในด้านที่เข้มแข็งของเธอ บางทีที่พี่ดาไม่ค่อยแสดงออกในด้านที่อ่อนแอ เพราะเธอคิดเสมอว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ถ้าหากใจเราสู้และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค

ถึงแม้หลังจากนี้จะเหลือเพียงความทรงจำของฉันที่มีต่อพี่ดา แต่เรื่องราวการต่อสู้ของนักสู้หญิงคนนี้ จะเป็นสิ่งที่ฉันจะจดจำไปตลอด และฉันก็อยากให้การต่อสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายของพี่ดา อยู่ในความทรงจำของผู้รักและหวงแหนประชาธิปไตยทุกคนตลอดไป

 

——————————————–

หมายเหตุ “แมวสีเทา” เป็นนามปากกาของนักศึกษาด้านสังคมศาสตร์ ผู้กำลังเริ่มศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้ต้องหาในคดีการเมือง และกำลังฝึกงานอยู่กับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

 

X