จนท.หลายฝ่ายบุกบ้านผู้โพสต์รูปทิวากรสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาฯ” นำตัวไปสถานี ตร.

14 ก.ค. 2563 เวลาประมาณ 15.30 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับแจ้งจากนายเกรียงไกร สิงห์หฬ ว่า ถูกเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ควบคุมตัวไปที่ สภ.เชียงคาน จ.เลย เพื่อเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน จากกรณีเฟซบุ๊กชื่อ “เกรียงไกร สิงห์หฬ” ตั้งค่าภาพปก (cover) เป็นรูปของนายทิวากร วิถีตน ที่ใส่เสื้อ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวในเวลาประมาณ 17.30 น. หลังลงชื่อในบันทึกประจำวันของ สภ.เชียงคาน แล้ว

จากการสอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้น นายเกรียงไกรให้ข้อมูลว่า ในวันนั้น เวลาประมาณ 9 โมงเช้า เขาได้เห็นว่า มีการแชร์ในเฟซบุ๊กให้ #saveทิวากร เขาจึงแคปเฉพาะรูปภาพของทิวากรมาโพสต์ให้เห็นเฉพาะเพื่อนว่า “#Saveทิวากร หยุดพฤติกรรมคุกคามประชาชน” แล้วตั้งให้ภาพดังกล่าวเป็นภาพปกเฟซบุ๊กของตนเองด้วย ซึ่งทำให้ภาพดังกล่าวกลายเป็นสาธารณะที่ทุกคนเห็นได้โดยอัตโนมัติ ทั้งที่ปกติเขาจะโพสต์ให้เห็นเฉพาะเพื่อนเท่านั้น

หลังจากนั้น เวลาประมาณ 14.00 น. มีรถ 5 คัน ขับมาจอดหน้าร้านสแตนเลสของเกรียงไกรขณะที่เขากำลังทำงานอยู่ เจ้าหน้าที่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในชุดนอกเครื่องแบบพร้อมปืนพกที่เอว 5-6 นาย กรูลงมาจากรถเข้ามายืนล้อมด้านหน้าร้าน สอบถามว่าใครชื่อ “เกรียงไกร สิงห์หฬ” เมื่อเกรียงไกรแสดงตัว ฝ่ายเจ้าหน้าที่มีการแนะนำตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ กอ.รมน., ทหารพราน, ตชด. และตำรวจฝ่ายสืบของ สภ.เชียงคาน แต่ไม่ได้แจ้งชื่อและแสดงบัตรประจำตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ได้แจ้งเขาว่า จะเชิญตัวไปเป็นพยานที่ สภ.เชียงคาน เนื่องจากมีคนบอกว่าเขาใช้เฟซบุ๊กโพสต์หมิ่นสถาบันฯ

สถานการณ์กึ่งปิดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน คุกคามให้เกรียงไกรและครอบครัวตกใจกลัวมาก เขาจึงยินยอมเดินทางไป สภ.เชียงคาน เจ้าหน้าที่ให้เขาขับรถไปเองได้ เกรียงไกรจึงขับรถไปกับภรรยา โดยมีรถของเจ้าหน้าที่ขับนำหน้าและติดตาม

เมื่อถึง สภ.เชียงคาน เจ้าหน้าที่ กอ.รมน. เป็นผู้นำเขาไปพบพนักงานสอบสวน โดยมี ตชด. ติดตามไปด้วย เจ้าหน้าที่มีการพูดคุยกัน ในระหว่างนั้นเขาสามารถเดินออกมาพูดคุยกับชาวบ้าน 5-6 คน ที่ตามไปรอฟังข่าวอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจ รวมทั้งได้โทรศัพท์ปรึกษาทนายความ ช่วงหนึ่งที่เขานั่งรอเจ้าหน้าที่พูดคุยกันอยู่ เกรียงไกรได้หันไปมองเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเขา และเหลือบเห็นหน้าจอโทรศัพท์เขาที่เปิดค้างอยู่ในแอปพลิเคชั่นไลน์ เป็นรูปบัตรประชาชนของเขา ทำให้เขาตกใจมากเนื่องจากเขาไม่เคยให้บัตรประชาชนใครไปง่ายๆ

ต่อมา พนักงานสอบสวนได้เรียกเกรียงไกรไปสอบถามว่า เขาโพสต์รูปภาพชายสวมเสื้อมีข้อความว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” จริงหรือไม่ โดยไม่ได้นำภาพเฟซบุ๊กของเขามาให้ยืนยัน แต่เกรียงไกรก็รับว่าเขาเป็นคนโพสต์จริง พนักงานสอบสวนแจ้งว่าจะให้เขาเซ็นชื่อในบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

เกรียงไกรเปิดเผยอีกว่า เขาได้ถามพนักงานสอบสวนว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ พนักงานสอบสวนตอบว่ายังไม่แจ้ง เพราะต้องเอาข้อความที่โพสต์ดังกล่าวส่งให้สำนักพระราชวังดูว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือไม่ หรือหมิ่นตรงไหน เกรียงไกรถามต่อว่า ถ้าทางสำนักพระราชวังแจ้งมาว่าหมิ่นฯ จะดำเนินการอย่างไรต่อ พนักงานสอบสวนกล่าวว่า สำนักพระราชวังจะมอบอำนาจให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี

เวลาประมาณ 17.00 น. พนักงานสอบสวนได้จัดทำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน มีข้อความว่า ส.ต.ท.ไกรสิทธิ์ แสนคำ พร้อมกับพวกได้ตรวจสอบพบเฟซบุ๊กชื่อ “เกรียงไกร สิงห์หฬ” โพสต์รูปภาพชายสวมเสื้อสีขาวมีข้อความเป็นตัวหนังสือสีแดงบนเสื้อว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” โดยเปิดแชร์สาธารณะ ทำให้ประชาชนทั่วไปเห็นและอาจเข้าใจผิดหรือหลงเชื่อต่อสถาบันไปในทางที่ผิด จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้สั่งให้ติดตามหาผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวเปิดร้านสแตนเลสอยู่ในอำเภอเชียงคาน จ.เลย จึงได้ไปพบและเชิญตัวมาพบพนักงานสอบสวน ทราบชื่อว่า นายเกรียงไกร สิงห์หฬ อายุ 39 ปี ได้ยอมรับว่าเป็นเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว และเป็นผู้โพสต์รูปภาพดังกล่าวจริง ผู้ตรวจสอบและผู้โพสต์จึงได้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน  โดยให้เกรียงไกรลงชื่อไว้ในท้ายรายงานประจำวันฉบับนี้

หลังจากที่เสร็จกระบวนการในสถานีตำรวจ เกรียงไกรเล่าว่า เขาได้ตั้งคำถามกับ ส.ต.ท.ไกรสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ ตชด. ว่า มีคนโพสต์แบบนี้เป็นแสน ทำไมไม่มีใครโดนแจ้งความว่า หมิ่นสถาบันฯ แบบเขา ซึ่ง ส.ต.ท.ไกรสิทธิ์ก็อึ้งไป

เกรียงไกรยังเปิดเผยอีกว่า เขาทราบจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ว่า ก่อนจะบุกไปหาเขาที่ร้าน ได้ยกกำลังไปสอบถามผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว เจ้าหน้าที่ยังบอกเขาว่า คนที่แจ้งว่าเขาโพสต์รูปดังกล่าวเป็นคนในอำเภอเชียงคานนี่เอง

เจ้าของร้านสแตนเลสย้อนกล่าวถึงความรู้สึกขณะเจ้าหน้าที่จำนวนมากยกกำลังมาที่ร้านว่า ตอนนั้นเขาและครอบครัวกลัวมาก ภรรยาของเขาถึงกับตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะเปิดแอพอะไรเพื่อบันทึกเหตุการณ์ หลังกลับจากสถานีตำรวจ เขาจึงเปลี่ยนภาพปกกลับเป็นรูปตัวเองเพื่อให้ภรรยาสบายใจขึ้น ถึงอย่างนั้นภรรยาและลูกชายก็ยังกินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ

เกรียงไกรกล่าวถึงเหตุผลที่เขาโพสต์ #saveทิวากร รวมถึงตั้งภาพทิวากรเป็นภาพปกว่า ในมุมมองของเขาไม่ควรมีใครถูกกระทำแบบทิวากรเพียงเพราะแสดงความคิดเห็นตามสิทธิเสรีภาพของเขา ซึ่งไม่ได้หยาบคาย ไม่ได้ทำร้ายใคร และไม่ได้ทำลายความมั่นคง ทำไมหน่วยงานรัฐถึงต้องจับไปฉีดยา และควบคุมตัวอยู่ในโรงพยาบาล ขณะเดียวกันตัวเขาที่เพียงแต่โพสต์รูปของทิวากรและขอให้เขาปลอดภัยจากอำนาจรัฐเท่านั้น ก็ถูกคุกคามเหมือนทิวากร ทำเหมือนกับเขาเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งไม่สมเหตุผล

>>> แถลงการณ์เรียกร้องให้ตรวจสอบและยุติการควบคุมตัวทิวากร กรณีสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว”

เกรียงไกรเล่าอีกว่า เขาเคยโพสต์มาตั้งแต่ #saveไผ่ดาวดิน มาจนถึง #saveวันเฉลิม เพิ่งมีครั้งนี้ที่ถูกคุกคามอย่างหนัก เขาจึงย้อนกลับมาคิดว่า เหตุที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจแสดงการคุกคามโดยตรงและชัดเจนแบบนี้ เพียงเพราะเจ้าหน้าที่คิดว่าเขาหมิ่นสถาบันฯ แต่ถามว่าเจ้าหน้าที่ใช้เหตุผลอะไรในการพิจารณา แล้วทำไมประชาชนที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นต่าง ต้องมานั่งกลัวเรื่องแบบนี้ตลอดเวลา

เกรียงไกรยังตั้งคำถามถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ กอ.รมน. มีรูปบัตรประชาชนของเขาอยู่ในโทรศัพท์ว่า ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐจึงมีรูปบัตรประชาชนของเขา และเจ้าหน้าที่มีสิทธิทำได้ขนาดนั้นเชียวหรือ

ก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์นี้ เกรียงไกรให้ข้อมูลว่า เขาร่วมกับชาวบ้านเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำศรีสองรัก ในอำเภอเชียงคาน มาตั้งแต่ประมาณปี 60 โดยที่ชาวบ้านเคลื่อนไหวอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็มีปัญหาว่าไม่สามารถสื่อสารความคิดเป็นภาษากลางได้ เขาจึงต้องเข้าไปช่วย ประกอบกับเขาเป็นช่างรับเหมา เข้าใจโครงสร้างการก่อสร้างต่างๆ และสามารถโต้แย้งในประเด็นนี้ได้

ล่าสุด เขาได้ร่วมกับชาวบ้านกลุ่มฮักแม่น้ำเลย เข้ายื่นหนังสือให้ทบทวนโครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก ที่เวทีรับฟังความเห็นโครงการโขง เลย ชี มูล โรงแรมเลยพาเลซ ที่ผ่านมา มี กอ.รมน. และสันติบาลในจังหวัดเลย เคยมาติดตามเขานานๆ ครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าการที่มีคนแจ้งเรื่องการโพสต์รูปทิวากรต่อเจ้าหน้าที่ เกิดจากความขัดแย้งกับกลุ่มสนับสนุนโครงการดังกล่าว แล้วใช้ข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์มากลั่นแกล้งเขาหรือไม่

 

X